โพสต์โดย amijung
amijung
amijung ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
เมื่อ อาทิตย์, 27 พฤษภาคม 2012
ใน บันทึกลูกรัก
เรื่องคุยของลูกตอนที่11(อนาคตของลูกหรือภาพฝันของพ่อแม่ ชีวิตคงเหนื่อยแย่ถ้าเพียงแค่ไม่ตั้งเป้าหมาย)
เวลาที่เราจะเดินทางไปไหนหรือทำอะไรสักอย่าง เคยสังเกตไหมว่าถ้าเรากำหนดเป้าหมาย รู้ว่าต้องการอะไรและวางแผน มุ่งมั่น เราจะมีโอกาสประสบความสำเร็จหรือสมหวังในสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้ แม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะดีหรือไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่ก็ตามที เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมากมาย ถ้าเทียบกับการที่เราทำอะไรโดยไม่มีการวางแผนเลย.คุณเคยคิดไหมว่าสำหรับลูกๆของคุณในอีก 10ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง เค้าจะอยู่ในวิถีสังคมเช่นไร. หากคุณยังสนใจอนาคตของลูกๆคุณมากพอ อยากขอให้ช่วยกันปูพื้นฐานสังคมและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ใช่ทางกายภาพ แต่เป็นคุณธรรมข้างในที่จะทำให้เค้าเป็นผ้าที่ยังดูขาวได้ แม้ว่าจะมีผ้าฝุ่นสีดำมากระทบโดนก็ตามที. ปัจจุบันตัวเองเฝ้ามองสภาพการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอยู่เรื่อยๆ สภาพแวดล้อมแถวบ้านที่อยู่เป็นชุมชนเมืองเรียกได้ว่าคนแถวนี้ฐานะปานกลางจนถึงแทบไม่มีจะกิน ติดหนี้ติดสินมากมาย เพราะเรา เจอกับสิ่งแวดล้อมที่แท้จริงอยู่เป็นประจำ จึงมีโอกาสได้เห็นแก่นแท้ของชีวิตคนธรรมดา ที่เดินสวนกันไปมาอย่างไม่ต้องเสแสร้งถ้าคุณจะเคยได้อ่านข่าวหรือรับรู้เกี่ยวกับแหล่งที่อยู่ที่เรียกว่า วัดด่านสำโรง สมุทรปราการ สิ่งที่คนทั่วไปจะนึกถึงก็คือ เหล้าสุรา ยาเสพติด การลักขโมย. ฉกชิงวิ่งราว การพนัน แหล่งอบายมุขต่างๆ สารพัดคดีความที่ดูจะน่ากลัวขอบอกว่า ตัวเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันจริงๆ เพราะเกือบทุกอย่าง ได้มีประสบการณ์ผ่านมาเกือบหมด ได้โปรดอย่าเพิ่งตกใจค่ะ. ดิฉันไม่ได้อยู่ในแก๊งค์ใด ๆทั้งสิ้น แต่ที่มีโอกาสได้เจอประสบการณ์กับคนเหล่านี้เพราะที่บ้านของเรามีธุรกิจห้องเช่าเล็กๆ (เล็กมากๆค่ะ) เดิมทีเราก็มีบ้านเดี่ยวอยู่อย่างสบายเลยแถมบ้านยังอยู่ใกล้กับสโมสรสระว่ายน้ำของหมู่บ้านอีกด้วย แต่ที่เราต้องหาที่อยู่เพิ่มเพราะขยับเข้ามาใกล้โรงเรียนที่ลูกต้องไปเรียนอยู่ทุกวัน. คุณเชื่อไหมค่ะ ตอนแรกดิฉันไม่เห็นด้วยเลยที่จะต้องย้ายมาอยู่ในบ้านที่เราทำธุรกิจอยู่เพราะว่าเราไม่เคยอยู่แหล่งที่อยู่ที่ผู้คนมากมายและดูน่ากลัวแบบนี้ (แถมยังเพิ่งกลับจากต่างประเทศได้ปีเดียวเอง). แล้วลูกของเราล่ะจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง. คุณอยากรู้ไหมว่าว่าดิฉันและครอบครัวใช้ชีวิตมาได้อย่างไร ถึงได้มีลูกสาวที่น่ารักอย่างนี้ในท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ไม่น่าจะเอื้ออำนวยให้ดีได้สักเท่าไหร่
คำถามแรกเมื่อตอนที่ดิฉันท้องแก่ใกล้จะครบกำหนดคลอดของเอมิจัง แล้วย้ายมาดำเนินกิจการต่อจากพี่คนที่เค้่าขายหอพักให้ทำต่อ คือคำถามจากเพื่อนบ้านที่ถามว่า คิดยังไงถึงได้ย้ายมาอยู่แถวนี้ เพราะดูลักษณะหน้าตาท่าทางการพูดการจา หน้าที่การงานแล้วไม่น่าจะเลือกมาอยู่แถวนี้ได้น่าจะไปเลือกอยู่ที่อื่นมากกว่า. ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็นึกในใจว่า นั่นสิ คุณสามีคิดอะไรอยู่เนี่ย มีบ้านอยู่ดีๆ สบายๆ ไหงให้มานอนเฝ้าหอพักกันอย่างงี้ล่ะ ตอนนั้นยอมรับว่าไม่พอใจมากด้วยค่ะ เพราะไม่เข้าใจไม่เห็นด้วยแต่เราไม่สามารถจะขัดได้จึงได้แต่ยอมรับและทำตามความคิดของคุณสามี สิ่งแรกตั้งแต่ที่ทำให้ดิฉันได้เริ่มคิดว่าที่นี่(สังคมแบบชาวบ้านจริงๆ) มันก็มีส่วนดีบ้างและให้ประโยชน์หล่อหลอมลูกสาวทั้งสองขึ้นมาเป็นเด็กดีได้คิดว่า. เป็นเรื่องการพูดจาให้สุภาพ. คนแถวบ้านที่ดิฉันอยู่มีเด็กเล็กๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเอมิค่อนข้างมาก แต่ละคนมาจากพื้นฐานครอบครัวที่แตกต่างกันทั้งเป็นแค่ลูกคนเช่าหอพัก. หลานชายอาซิ้มร้านขายของชำ(ซึ่งอาซิ้มดุมากกับหลานๆคุยเสียงดังข้ามมาได้ยินทีหลายบ้านเลย). ลูกสาวเจ้าของโรงงานปักผ้า ลูกชายร้านโรงพิมพ์ ลูกคนขายกับข้าว ลูกของฝรั่งที่มาเช่าบ้านอยู่ใกล้ชื่อจอห์น และสารพัดเด็กๆที่พอว่างๆ จะมารวมตัวกัน. เด็ก ๆพูดจาไม่เพราะเลยค่ะ. ตอนที่ดิฉันตัดสินใจลาออกจากงานประจำมันก็เป็นช่วงที่เอมิอายุ 6เดือน. ดิฉันได้มีโอกาสเลี้ยงลูกเองได้เจอลูกอยู่กับลูกทั้งคืนทั้งวัน ไม่ต้องไปขึ้นเวรอีกแล้ว เป็นความสุขที่สุดของที่สุดเพราะช่วงที่ทำงานบางวันได้เจอลูกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องฝากคนอื่นเลี้ยง. การที่ดิฉันได้เลี้ยงดูลูกอย่างใกล้ชิดจึงเป็นเสมือนเกราะภูมิคุ้มกันที่ดีสำหรับลูกอย่างมาก เพราะเวลาที่ลูกเติบโตขึ้นได้เจอเพื่อนๆหลายๆรูปแบบเราเองก็สามารถเป็นได้ทั้งคุณแม่และเพื่อนเล่น เพื่อนคู่คิดที่ไปไหนไปกันได้อย่างลงตัว เด็กแถวบ้านคนที่มีโอกาสจะได้เล่นกับเอมิก็ต้องปรับตัวด้วยเพราะรู้ว่าบ้านเราไม่พูดจาหยาบคาย เพราะฉะนั้นดิฉันเลยได้มีโอกาสสอนเด็กๆคนอื่นในเรื่องต่างๆด้วย. ดิฉันเจอเหตุการณ์สารพัดที่จะเอามาสอนวิชาชีวิตให้กับลูกทั้งสองคน ไม่ว่าจะเรื่ิองเล็กหรือเรื่องใหญ่
โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้เช่าถือได้ว่าเป็นกรณีศึกษาที่ลูกสามารถเอามาแยกแยะได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี. อะไรควรทำหรือไม่ควรทำ อะไรควรสังเกต หรืออะไรที่อันตราย ในซอยแถวบ้านมีทั้งคนที่นั่งทานเหล้า ลูกจะพูดเลยว่า ดื่มสุราผิดศีล ไม่ดีทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมรู้จักด้วยว่าจะเป็นโรคตับแข็ง. เจอคนสูบบุหรี่ก็จะไม่ชอบบอกว่าเดี๋ยวก็เป็นมะเร็งปอดหรอก เจอคนมาเดินไหว้ขอทานก็รู้จักคิดว่า ควรจะพิจารณาอย่างไรดีว่าควรจะช่วยไหม มีอยู่ครั้งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องคนขอทานตามริมถนน มีผู้ชายหนุ่มหน้าตามอมแมมมาเดินขอทานเอมิก็เดินหนีไม่สนใจให้ บอกว่ายังไม่แก่เลยแต่ไม่ทำงานไม่ช่วยเหลือตัวเองแบบนี้ไม่ให้หรอกเดี๋ยวก็คงจะเอาเงินไปทำอย่างอื่นซะมากกว่า. กับอีกครั้งหนึ่ง เราไปเดินที่ตลาดเจอขอทานนั่งอยู่ไม่ไกลกันอยู่ 2คน. คนแรกมือเท้าแขนขาครบแต่ตาบอด. กับอีกคนหนึ่ง. แขนขาดกับขาขาดทั้งสองข้าง แต่มองเห็น. พูดได้ ดูเหมือนจะพิการแต่กำเนิดมิได้ถูกตัดแขนขามาแต่อย่างใด คุณคิดว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกทำบุญให้ใครค่ะ.เอมิเลือกให้คนที่พิการแขนขา. แต่ไม่ให้คนตาบอดเพราะเหตุผลที่ว่า. คนตาบอดยังสามารถหางานทำได้ไม่จำเป็นต้องมานั่งขอทาน มีมือมีเท้าเดินได้หยิบจับของได้ เค้่าน่าจะไปทำอย่างอื่นมากกว่า. ส่วนคนที่พิการแขนขาขาดเค้าดูท่าจะลำบากกว่ามากเพราะจะทำอะไรก็ลำบากจริงๆ. คุณคิดว่าเด็ก 7 ขวบจะคิดได้กันแบบไหนบ้างนะคะ ส่วนดิฉันแค่ได้กระตุ้มต่อมคิดเรื่องสังคมให้เค้าได้ลองมองความทุกข์หรือปัญหา รู้จักคิดวิเคราะห์กับสภาพเหตุการณ์ที่เค้ามีโอกาสจะได้เจอจริงๆในชีวิต แล้วเค้าจะจัดการอย่างไร. แค่นี้ดิฉันก็พอใจแล้วค่ะ ยิ่งถ้าเอมิหรือยูริเห็นใครดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่จะรู้เลยว่ามันไม่ดี โตขึ้นก็จะไม่ขอคบเพื่อนที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข เอมิจังบอกว่าขนาดตัวเองยังไม่รักตัวเองเลย. จะมาหวังดีกับเราได้ยังไง. ลูกเรียนรู้เรื่องพฤติกรรมที่ควรหรือไม่ควรเกี่ยวกับการแต่งกายของผู้หญิง. ดิฉันจะสอนให้แต่งตัวให้เหมาะสมกับกาละเทศะ เพราะฉะนั้นลูกก็เลยรู้จักว่าอะไรคือโป๊ หรือไม่่โป๊ จำได้ไหมค่ะเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา การเล่นสงกรานต์ของวัยรุ่นไทยเราเป็นอย่างไรบ้าง ช่างไม่น่าดูเลยสำหรับประเพณีไทยที่ดูจะผิดเพี้ยนไป ลูกสองคนผ่านไปเห็นก็ยังพูดเลยว่าแต่งตัวโป๊จังเลย ไม่เห็นดีเล้ย ตอนนี้ดิฉันเลยได้รู้ว่า การที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าเรามีสติตั้งรับว่าเราจะสั่งสอนลูกอย่างไรก็คงจะไม่ลำบากเกินไป. เพราะแต่ก่อนดิฉันไม่เชื่อคุณสามีเลยว่า เราจะสามารถยืนหยัดสอนลูกให้น่ารักได้ขนาดนี้ได้ภายใต้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ใครๆก็คงจะไม่เลือกมาอยู่แน่ๆ(ในมาตราฐานระดับเดียวกันกับเรา). แต่วันนี้พิสูจน์ได้แล้วว่า ถ้าเรารักลูกดูแลใกล้ชิด สอนลูกให้รู้จักคิดได้ เค้าจะมีภูมิต้านทานโรคสังคมที่มันมีโอกาสเข้ามาทำลายชีวิตของเราได้ทุกเมื่อ. โอกาสการเรียนรู้เรื่องอื่นๆที่นี่มีอีกหลายเรื่องค่ะ เรื่องการรับผิดชอบ (คนเช่าต้องจ่ายค่าเช่าให้ตรงเวลา). การอาศัยอยู่ร่วมกันต้องเกรงใจกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา(. คนบนหอพักต้องไม่ส่งเสียงดัง รบกวนผู้อื่น). การคบเพื่อนต่างเพศ(เคยมีเด็กผู้หญิงมาเช่าหอกับเด็กผู้ชาย ดิฉันเลยได้สอนเรื่อง การกระทำที่่ควรหรือไม่ควรอย่างไร. การดูแลตัวเองในฐานะที่ตัวเราเป็นผู้หญิง. ศักดิ์ศรีความมีคุณค่าในตัวเอง). และอื่นๆ อีกหลากหลายสารพันค่ะ. ดิฉันสอนลูกให้อยู่กับความเป็นจริง. เราสามารถมีความสุขได้ภายใต้ต้นทุนที่ต่ำ. ไม่ต้องไปป่าวประกาศว่าเรามีอะไรบ้าง อยู่อย่างพอเพียง มีความสุขกับการใช้ชีวิตภายใต้ต้นทุนต่ำทำให้เราไม่ต้องเวียนหัว ไม่ต้องไปสร้างหน้ากากเพิ่ม. ดิฉันว่ามันมีความสุข แล้วก็เอาเวลาที่เหลือเหล่านั้นไปทำประโยชน์อะไรได้อีกตั้งมากมาย
ทั้งเอมิและยูริก็ได้ทำ หรือมีทุกอย่างเหมือนที่เด็กในวัยเดียวกันนั้นทำหรือมีไม่ได้แตกต่างกันเลย เพียงแต่ลูกเราอยู่บนที่สูงก็ได้หรือจะอยู่ที่ต่ำก็ยังไหว นี่ล่ะค่ะเป้าหมายที่วางเอาไว้ให้ลูกรู้จักแกร่ง อึด และเข้าใจชีวิต ไม่ย่อท้อต่ออะไรง่ายๆในการที่จะเป็นเด็กดี สิ่งนี้ล่ะค่ะอยากให้ผปค.ทุกๆท่านได้ช่วยเหลือ เป็นกำลังใจให้กัน ช่วยกันสร้างสังคมที่อยู่ใกล้ตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังว่าสังคมไทยที่เราอยู่ก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนะค่ะ มาร่วมมือกันสร้างเด็กยุคใหม่ให้จิตใจดีด้วยกันนะคะ
คำค้นหา: ไม่ระบุคำค้นหา
เห็นด้วยกับความคิดของคุณแม่น้องเอมินะคะ...."เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว พวกเราคือสี หากเราแต่งแต้มด้วยความปราณี ผ้าขาวผืนนี้ก็จะมีลวดลาย และสีที่สดใส".....