โพสต์โดย amijung
amijung
amijung ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
เมื่อ อาทิตย์, 08 เมษายน 2012
ใน บันทึกลูกรัก
เรื่องคุยของลูกตอนที่ 4 (ใครว่า ..น้องต้องเหมือนพี่ ไม่มีทางซะล่ะ)
คุยเรื่องลูกคนโตมานานแล้ว ขอคุยเรื่องลูกคนเล็กบ้างดีกว่า เอมิเป็นพี่สาวของยูริ ใคร ๆก็ถามว่าทำไมต้องชื่อยูริ ดูมาจากในหนังละครเกาหลีหรือเปล่า ขอบอกว่าไม่เคยได้ดูหนังเกาหลีที่มีคนชื่อยูริเลยสักครั้ง ก่อนที่จะตั้งชื่อลูกตัวเอง เพิ่งจะมารู้ก็ตอนที่คนเค้าถาม ที่มาของชื่อ ยูริ มาจากไหนน้า ให้เวลาเดากันก่อน ..... หมดเวลา... เฉลยเลยดีกว่า ตอนแรกเมื่อประมาณก่อนที่ยูริจะคลอด คุณแม่อุ้มท้องได้ประมาณ 7 เดือนช่วงนั้นได้ซีดีเกี่ยวกับเพลงของดวงดาวต่าง ๆ แล้วก็มีอยู่เพลงหนึ่งที่ร้องเกี่ยวกับเพลง ยูเรนัส ทำนองเพลงนั้นหวาน ๆ เพราะมาก ๆ เอมิร้องตามได้เลย ( ตอนนู้นนะคะ แต่ตอนนี้ลืมไปแล้ว แป๋ว..) ก็เลยบอกว่าน้องสาวที่จะคลอดออกมาขอตั้งชื่อว่ายูเรนัส ได้ไหม คุณแม่ก็เลยบอกว่า ชื่อเอมิจัง ก็ยาวแล้วนะ ถ้าให้น้องชื่อ ยาว ๆอีก คงเรียกไม่ทันแน่ ๆ เลย คุณแม่เลยเปิดพจนานุกรมญี่ปุ่นดูมีชื่อที่สั้น ๆ น่ารัก ๆ ว่า ยูริ (ตัวคันจิ ที่เลือกก็เอาตามความหมายว่า ดอกลิลลี่) ถามเอมิว่าเห็นด้วยไหม พี่สาวบอกโอเค เพราะอย่างน้อยก็มีคำว่า ยู ล่ะน่า น้องสาวก็เลยชื่อยูริ เพราะพี่แท้ ๆ เลย ตอนยูริเกิดตัวขาว หน้า และปากแดงมาก ๆ จนคนข้างบ้านถามว่าทาลิปสติกให้ลูกหรือเปล่า ต้องบอกว่าไม่ได้ทาเลย หน้าตาน้องจิ้มลิ้ม เคยพาไปเดินเล่นสมัยน้องอายุ ได้ ประมาณ เกือบ 3 เดือน ที่สยามพารากอน มีโมเดลลิ่งก็มาชวนไปลองเทสต์หน้ากล้องถ่ายโฆษณาแพมเพริสยี่ห้อหนึ่ง ก็ลองไปค่ะ แต่ก็ไม่ได้งาน จากนั้นมีอีกหลายงานที่โมเดลลิ่งโทรตามให้ไปเทสต์หน้ากล้องอีก แต่ที่ประทับใจที่สุดน่าจะเป็นของ เบบี้เลิฟที่มีคนมาคัดเกือบ 200 กว่าคน แต่เค้าคัดรอบสองเหลือ 8 คนสุดท้าย( โอ้โหทำเหมือนกับ เดอะสตาร์เลยเนอะ ) เราก็ไปเคสรอบสองอีกแต่ปรากฏว่าไม่ได้อ่ะ เค้าเอาเด็กคนเดียว แล้วก็ถ่ายคุณแม่ของเด็กด้วย ( ดิฉันก็เลยนึกในใจ ว่าขอโทษทีนะลูก สงสัยที่ลูกไม่ได้ถูกเลือก เพราะมีคุณแม่แก่แล้วหน้าไม่ขึ้นกล้องแน่ ๆเลย แบบว่าจนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร) จากนั้นก็มีมาอีกแต่ว่า เราไม่ว่างแล้วล่ะ ไม่อยากต้องรบกวนใคร ๆให้มาช่วยขับรถพาไปที่สตูดิโออีก เพราะมันเสียเวลาเกือบทั้งวันเลย บ้านเราก็อยู่ไกลด้วย จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่รู้ว่ายูริคิดว่าตัวเองสวยหรือเปล่า ถึงได้รักสวยรักงามมาก ๆ ( ก่อนออกจากบ้านฉันต้องมั่นใจว่าฉันสวยจริง ๆก่อนจึงจะไปไหนต่อไหนได้ ทั้ง ๆ ที่ อาจจะแค่น่ารักนิดหนึ่งเท่านั้นเองอ่ะ คิดแบบเข้าข้างตัวเองสุด ๆ เลย อย่าเพิ่งหมั่นไส้ซะก่อนนะคะ) กำลังจะบอกว่า ด้วยเหตุนี้ ยูริจึงทนแดด ทนฝนไม่ค่อยได้ หากนอนไม่พอก็จะไม่สบายทันที ขึ้นรถไม่ว่าจะรถอะไรก็มักจะเวียนหัว อ่อนแอ้.. อ่อนแอ.. ทั้งขี้อ้อน ทั้งไม่ค่อยอดทน ถ้าเหนื่อยหน่อยก็จะบ่นแล้วอย่างเดินไม่ไหวให้ช่วยอุ้ม แต่ถ้าเป็นเรื่องความมั่นใจเกี่ยวกับการพบปะพูดคุยกับคนแปลกหน้าแต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักบ้างนะคะ ยูริพร้อมที่จะสนิทสนม กลมกลืนทำตัวเข้าหาผู้ใหญ่ได้ดีมาก ๆช่างคุยสุภาพน่ารัก เจอใครก็พูดหวาน ๆให้ชื่นใจ เค้ามีอีคิวเกี่ยวกับทักษะการพูดจาให้กำลังใจคนมากเลย ตอนที่เค้าเริ่มเรียนเนอสเซอรี่ได้ตอนอายุ 2.6 ปี เค้าก็อยู่ร.ร.ที่หนึ่ง พอมาเข้าอนุบาลหนึ่ง ก็ไปซัมเมอร์ อีกร.ร.หนึ่ง จากนั้นพอพี่ติดสาธิตเกษตรพหุภาษา ยูริก็ย้ายไปเรียนซัมเมอร์อีกเดือนที่ YWCA อีก แต่สรุปว่าไม่ค่อยตรงใจเราเท่าไหร่ก็ต้องเปลี่ยนร.ร.อีก สรุปว่ายูริเปลี่ยนร.ร.บ่อยมาก จนเครื่องแบบนักเรียนเต็มตู้ไปหมดเลย เหมือนเค้าต้องเดินตามทางที่พี่เอมิกำลังจะใช้ชีวิตต่อไป แต่ว่ายูริไม่เหมือนเอมิเลยคือ แนวทางการเรียนการสอนการใช้เวลาอยู่กับคุณแม่ น้อยกว่าพี่เอมิจังครึ่งหนึ่ง เพราะเราไม่สามารถจะเต็มที่กับยูริได้เหมือนกับที่ให้เอมิ สมัยเอมิ 2 ขวบ คุณแม่ก็พาตะลอน ๆ เดินทางไปเที่ยวที่นู้นที่นี่ ไปดูปลาฉลามที่สยามพารากอนบ่อยมาก (เพราะเป็นสมาชิกอยู่เมื่อตอนนู้นไปซะคุ้มเลย) ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ต่าง ๆทุกรูปแบบไปเที่ยวสวนสัตว์โดยเฉพาะสวนสัตว์ดุสิต จนนึกในใจว่าที่นั่นน่าจะมีให้สมัครบัตรสมาชิกบ้างเนอะ เพราะไปกันจนจำได้หมดเลย แม้จนกระทั่งตัวคุณแม่ท้องแก่ใกล้จะคลอดถ้ามีเวลาก็จะพาไปเที่ยวหาประสบการณ์ตลอด แต่ว่าพอมียูริ และเค้าเริ่มโตขึ้นโอกาสที่จะพาไปไหนต่อไหนก็เริ่มน้อยลงเพราะติดธุระเรื่องเอมิบ้าง งานที่บ้านบ้าง แถมคุณพ่อก็งานยุ่งขึ้นเยอะ เค้าเลยขาดประสบการณ์ตรงหลาย ๆเรื่อง ต้องผ่านจากการบอกเล่า จากการดูทางทีวีแทน จากอินเตอร์เน็ต แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้ทำสม่ำเสมอกับลูกคือ การพาเค้าไปเดินที่ตลาดในทุก ๆตอนเย็น เค้ารู้จักเรื่องการเข้าสังคม รู้มารยาทว่าอะไรควรหรือไม่ควร อย่างถ้าคุณแม่หยุดคุยกับเพื่อนบ้านหรือคนรู้จักคนไหน ยูริจะยกมือไหว้สวัสดีทันทีเลยไม่ต้องบอก เวลาไปซื้อผลไม้ก็รู้จักถามแม่ค้าว่าหวานหรือเปรี้ยว แถมบางทีรู้จักต่อรองขอแถมเพิ่มได้ไหมค่ะ เรียกได้ว่ามีศิลปะการพูดจาไม่ธรรมดา มีผู้ปกครองลูกหลายคนบอกยูริพูดคุยเหมือนเด็กโต การแสดงความคิดเห็นหรือเวลาซักถามพูดคุย กล้าพูดตอบได้และรู้เรื่องด้วย เรียกได้ว่าเล่าเป็นเรื่องเป็นราวได้ อีกอย่างที่ไม่เคยขาดเลยคือ อ่านนิทานก่อนนอน ตอนแรก ๆ ดิฉันเองก็เอานิทานที่เคยอ่านให้เอมิจังฟังสมัยเด็กๆ เหมือนตอนที่เอมิมีอายุเท่ากัน ปรากฏว่ายูริให้อ่านให้ฟังจนหมดชั้นหนังสืออย่างเร็วเลย ดิฉันก็บอกว่าให้เอามาอ่านซ้ำดีกว่า ยังจำได้ไม่หมดหรอก ยูริบอกว่ารู้หมดแล้ว เลยลองสุ่มหยิบมาถามปรากฏว่าเล่าเรื่องสรุปใจความได้ว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ดิฉันเลยต้องซื้อนิทานเล่มใหม่ ๆมาเพิ่มอีกอยู่เรื่อย ๆ จนเมื่องานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปีที่แล้วนู้น ดิฉันสนใจเกี่ยวกับการ์ตูนที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวรรณคดี และชาดก มีหลายสำนักพิมพ์เลย ก็เลยลองซื้อมาอ่านให้ลูกฟัง ปรากฏว่ายูริ ชอบเรื่องราวของวรรณคดีอย่างมาก มีทั้งพระอภัยมณี รามเกียรติ์ พระมหาชนก โสนน้อยเรือนงาม ปลาบู่ทอง และนิทานชาดกพวกเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ทศชาติชาดก ดิฉันคิดว่าเค้ามีจินตนาการเกี่ยวกับความสวยงาม เรื่องเล่าที่สนุกน่าติดตาม เพราะหนังสือส่วนใหญ่หนามาก ดิฉันต้องขอเล่าที่ละ10 หรือ 20 หน้าแล้วแต่จะตกลงกัน สรุปว่ายูริชอบฟังเรื่องวรรณคดี ตำนาน ออกแนวจินตนาการ ซึ่งต่างกันสุดขั้วกับพี่เอมิจังที่ชอบแนววิทยาศาสตร์ ประเภทให้ความรู้ เรื่องวิทย์หรือการใช้เงิน การประหยัดเงิน ศิลปะพวกประดิษฐ์หรือวาดรูป ส่วนยูริชอบรำไทย สนใจศิลปะแต่ร่างภาพไม่เก่ง ชอบถ่ายรูปแต่ยังไม่แจ่มเท่าพี่เอมิ ที่ถ่ายภาพสวย มีมุมมองการถ่ายแปลก ๆ เก๋ ๆ ดิฉันว่ายูริก็คงอยากจะเก่งเหมือนพี่เอมิหลายอย่าง แต่คงจะยังต้องฝึกอีกนาน ดิฉันมาลองมองลูกสองคนที่ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน(เรื่องนิสัย) ทำให้แนวการเลือกร.ร.ติวมันช่างแตกต่างสลับขั้วกันไปเลย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา ดิฉันยังไม่อาจจะคาดเดาได้จริง ๆ สำหรับยูริ การเลือกร.ร. ติวสาธิต เป็นการเฉพาะเจาะจงตั้งใจว่าจะให้เรียนจริง ๆจัง ๆ เรารู้จักคุณครูท่านนี้เพราะมีผู้แนะนำมาว่ามีความสามารถถึงแม้ว่าจะไม่ได้จบมาทางครูก็ตาม แต่ด้วยคอนเซ็ปที่เราชอบและสะดุดใจก็คือ การเรียนการสอนแบบความรักนำความรู้ เพราะเราเชื่อว่าเมื่อเกิดความรักขึ้นมาแล้วก็สามารถที่จะสอนหรือบอก ให้ ความรู้ทุก ๆอย่างได้อย่างไม่ต้องยัดเยียด แนวความคิดถูกใจ การเรียนการสอนเน้นสร้างแรงกำลังใจ เนื้อหาหลัก ๆของเด็กที่จะสอบเข้า สาธิตม.ศ.ว. ไม่เข้มเท่าติวเข้า สาธิตจุฬา เดิมทีเราคิดว่าคุณครูจำกัดผู้เรียนในแต่ละรุ่น เผื่อว่าลูกเราจะได้เรียนแบบใกล้ชิด แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น นักเรียนมีจำนวนมากแต่คุณครูน้อยอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง เราได้ชีทกลับมาทบทวนที่บ้านน้อยมากหรือเรียกได้ว่าแทบไม่มีเลย ถ้าผู้ปกครองต้องการทวนซ้ำต้องจดรายละเอียดเองทำให้เราก็อาจจะยัง งง ๆ หลง ๆ ตามเก็บได้ไม่หมดว่าลูกเรารู้หรือไมรู้อะไรบ้าง ได้คุยกับคุณครูนิดหน่อย เพราะคนเรียนเยอะ ผู้ปกครองอีกเพียบ บางทีก็สงสารครูที่ไม่ได้เป็นคุณครูโดยอาชีพแต่ต้องมารับบทใหม่เป็นคุณครูของเด็ก ๆซะแล้ว คิดแล้วเห็นใจไม่ถามไม่คุยมากดีกว่า สรุปว่าเราส่งลูกไปเรียน ลูกได้เรียน แต่เราต้องมาคิดทบทวนเอาเองว่าจะทวนกับลูกเรื่องอะไร ซึ่งตัวคุณครูก็ไม่ได้แบ่งหมวดหมู่ชัดเจนว่าสอนเรื่องอะไรไปบ้างตามหัวข้อการสอนอันไหน ทำให้ดิฉันหลงทางไปเยอะเหมือนกัน (บางทีดิฉันไมได้เข้าไปฟังครูเฉลยทุกครั้ง แต่ฝากคนอื่นไปฟังแทน ทำให้ไม่รู้เรื่องยูริที่ติวกับคุณครูเลยอยู่หลายครั้ง มาถึงตอนนี้ก็คงไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วล่ะค่ะ รอลุ้นวันประกาศผลสอบอย่างเดียวเลยว่าคะแนนจะดีเหมือนกับคนอื่นเค้าหรือเปล่า ส่วนสอบติดหรือไม่อย่างไรตัวคุณแม่ก็ไม่สามารถจะคาดเดาได้จริง ๆ สงสัยว่าจะแล้วแต่ดวงซะแล้วล่ะมั้ง เดี๋ยวคราวหน้าจะมาเล่าเรื่องยูริต่อเผื่อใครมีลูกสาวคล้าย ๆยูริจะได้มาแชร์ประสบการณ์กันนะคะ
คำค้นหา: ไม่ระบุคำค้นหา
ตอนแรกคิดว่าน้องชื่อเอมิ กะ ยูริเพราะว่าคุณพ่อเป็นคนญี่ปุ่นซะอีกค่ะ ที่แท้มาจากพี่สาวชอบชื่อยูเรนัสนี่เอง
เอมิจังต้องรักน้องมากแน่ๆเลยใช่ไหมคะ เพราะมีส่วนได้เป็นเจ้าของน้องมาตั้งแต่น้องยังไม่เกิดซะด้วยซ้ำ
ฟังดูแล้วยูริจังเหมือนเจ้าหญิง เธอสวยงามช่างฝันมีจิตใจดีใครๆก็อยากพูดคุยด้วย แต่บอบบางจนเกือบจะอ่อนแอ
ส่วนเอมิจังนี่ เธอดูเหมือนองค์รักษ์พิทักษ์เจ้าหญิงนะ เธอกล้าหาญเป็นนักสำรวจพร้อมลุยและฝ่าฟันอุปสรรค
เป็นพี่น้องสองสาวที่ต่างกันมากๆ แบบนี้คุณเฮี้ยงคงต้องปวดหัวในการจัดหากิจกรรมให้ลูกสองคนที่ชอบต่างกัน
ความจริงการแตกต่างก็มีข้อดีนะคะ..เขาจะได้คอยช่วยเหลือกันและกันในส่วนที่อีกคนนึงไม่ถนัด
ลองคิดเล่นๆว่า ถ้าให้ถ้าเอมิและยูริแบ่งปันส่วนดีของแต่ละคนมาเขย่ารวมกันน่าจะสมบูรณ์แบบทีเดียวนะเนี่ย
** เป็นกำลังใจให้ยูริจังในการลุ้นผลสอบนะคะ **