อีกไม่กี่วันแล้ว ยูริจัง ก็จะไปลองสอบที่ สาธิต ม.ศ.ว. นึกย้อนกลับไปเมื่อสมัยเอมิจัง พี่สาวของยูริที่เคยได้มีโอกาสไปติวตามร.ร.ที่เค้ารับสอนติวเข้าร.ร. สาธิต ต่าง ๆ เหมือนตัวเองได้นั่งไทม์แมชชีน กลับไปนั่งมองดูตัวเองอีกที ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาเลย เมื่อประมาณปี2552 - 2553 ที่น้องเตรียมตัวสอบเข้าสาธิตมันช่างเป็นเวลาที่คุณแม่ได้รับรู้ว่าการที่เราและลูกจะร่วมมือร่วมใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งร่วมกัน มันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างมาเกี่ยวข้องมากมาย และเราต้องใช้ใจและความซื่อสัตย์ต่อตัวเองอย่างมากเพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้น เริ่มจาก
1. เหตุผล และเป้าหมาย ว่าทำไมต้องเป็น ร.ร. แบบแนวสาธิต
ตอบตัวเองตอนแรกว่า อยากลอง อยากรู้ว่าลูกเราจะมีความสามารถหรือเปล่าน้า เก่งจริงไหม ความกล้า ความแกร่งที่จะต่อสู้ฟันฝ่ามีบ้างไหม เรื่องแนวคิดร.ร. รู้เพียงแค่ว่ามีชื่อเสียง ตามที่เค้าบอกต่อ ๆกันมา ถ้าลูกสอบติดก็ดีช่วยประหยัดค่าเรียนจากปีละแสนลงเหลือไม่กี่หมื่น หลายสารพัดเหตุผลว่ามันช่างดีเหลือเกิน แต่ในความเป็นจริง ไม่เคยรู้แนวการสอน เค้าสอนกันอย่างไร สภาพแวดล้อมที่ลูกจะต้องเจอเป็นอย่างไร วิชาการสอนดีหรือเน้นอะไรบ้างหรือเปล่า ไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะเวลาจะเข้าไปดูข้อมูล ก็ต้องเป็นผู้ปกครอง หรือสมาชิกถึงจะเข้าไปดูได้ ข้อมูลจากผู้ปกครองที่รู้จริงมีน้อยมาก และแล้ว ก็สวรรค์โปรด ได้มาเจอเว็บน้องกานต์ ทำให้ได้มีโอกาสรู้จักคำว่า สาธิตเกษตร ซึ่งในชีวิตนี้ไม่เคยได้รู้ข้อมูลเลยว่า สาธิตเกษตรมีอยู่ 3 หลักสูตร คือ แบบสามัญ (บางเขน) แบบพหุภาษา ( อมตะนคร ชลบุรี) และแบบอินเตอร์ (บางเขน) คุณแม่สนใจแบบพหุภาษาเพราะลูกเรียนแบบอีพี(แบบสองภาษา) มา ถ้าจะทิ้งความรู้ที่อุตส่าห์สั่งสมมาก็น่าเสียดาย เราอยากให้ลูกรักภาษาอังกฤษ และจีน ที่เค้ามีพื้นฐานมาบ้างแล้วต่อไป เลยตัดสินใจว่าจะลองหาข้อมูลเพิ่มดู เป็นโชคชะตาพาลิขิต เข้าไปเว็บไซต์โรงเรียนพอดี กำลังประกาศรับสมัครนักเรียนพอดี เลยรีบสมัครก่อนเลยเพราะกว่าจะผ่านขั้นตอนการสมัคร การสอบสัมภาษณ์ ทั้งเด็กและผู้ปกครอง การยื่นเอกสารต่าง ๆอีก ใช้เวลาเป็นเดือน ๆเลย รีบดำเนินการณ์ก่อนเลยก่อนที่จะปิดช่วงปีใหม่ในตอนนั้น
2 . การเตรียมตัวสอบ การเลือกที่ติวให้ลูก จะทำอย่างไรดี จะเริ่มจากอะไร มัน งง แบบไม่รู้ นึกไม่ออกว่าจะปรึกษาใคร เพราะเพื่อนสนิทในกลุ่มหลายคนไม่ว่าจะโรงพยาบาลไหน ๆ ไม่มีใครมีลูก ไม่แต่งงานกันทั้งนั้น จะเอาอย่างไรดี
วิธีแรกคือ หาข้อมูลในเว็บ รับติวต่าง ๆ ซึ่งมีเยอะมาก ๆ ไม่เคยคิดว่าจะเยอะขนาดนี้ ทำเป็นธุรกิจกันอย่างแพร่หลาย มีทั้งจองกันก่อนเป็นปี มีต้องจ่ายเงินมัดจำก่อน กลัวว่าจองแล้วจะไม่มาเรียนจริง บางทีขอให้จ่ายเป็นเงินมาเลยทั้งหมด ถ้าเลิกเรียนกลางคันก็ไม่คืนเงินให้ หรือแบบแบ่งจ่าย สารพัดจะมีหลายแบบ หลายเงื่อนไข แล้วแต่ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะชอบหรือสนใจโปรโมชั่นแบบไหน ยอมรับว่าตอนที่เลือกร.ร.ติวให้เอมิจัง ไม่ได้ศึกษารายละเอียดการสอน หรือเนื้อหาการติวโดยละเอียดยิบเลย อาศัยว่าลองไปเรียนดูก่อนว่ามันเป็นแบบไหน แนวข้อสอบของลูกจะเป็นยังไงน้า อยากเห็นข้อสอบ มีคำถามมากมายอยากคุยกับคุณครูเรื่องการเตรียมความพร้อม สารพัด ความคิดอยากรู้ อยากถามเต็มไปหมด ผลสุดท้ายสนใจที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านขับรถไปประมาณ 30 นาทีก็ถึง (ต้องขออนุญาต ไม่เอ่ยถึงชื่อนะคะ) คุณครูอายุยังไม่มาก มีวุฒิจบอยู่ในเกณฑ์ดี สภาพร.ร.ติว ค่อนข้างเหมือนบ้าน เจ้าหน้าที่ก็คือคนในครอบครัวทำหน้าที่รวม ตั้งแต่ เจ้าของร.ร. ธุรการ และอื่น ๆ ส่วนครูที่สอนมีเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ช่วย รับกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 7-8 คน (แต่เราว่าใหญ่ ครูจะดูทันไหมน้อ) ดูตามที่ลงรายละเอียดในเว็บไซต์ก็เหมือนมีผลงานทำให้เด็กสอบติดหลายคน แต่เราเองก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า ก็เอ้าลองดู คุณรู้ไหมค่ะว่าเอมิจังอึดมาก ไปเรียนช่วงปิดเทอมทุกวันวันละ 3 ชั่วโมง ช่วงเช้า และอีก 2 ชั่วโมง ช่วง วันเสาร์
ทำอย่างนี้เป็นเวลาครึ่งปี นอกจากนั้น ลูกยังเรียนบัลเล่ย์ เรียนวิทยาศาสตร์ (scince kid) คุมอง ศิลปะ เรียนติวที่ร.ร.อนุบาลของเค้าเองอีกอาทิตย์ละ 1 ชั่วโมง (เตรียมความพร้อมเข้าสาธิต) กลับมาถึงบ้านลูกยังมีแรงไปวิ่งต่อ แต่พอตอนกลางคืนอ่านนิทานให้ฟังจบปุ๊บ เอมิก็หลับปับ เหมือนปิดสวิทซ์ไฟของตัวเอง เค้าไม่เคยมีปัญหานอนไม่หลับเลย พอปิดไฟปุ๊บ หันดูอีกทีก็หลับไปแล้ว เป็นเด็กที่ไม่ตื่นสายเลย ตื่นได้แบบไม่โยเยเลย ( ขอบคุณพระเจ้า เราไม่ต้องมารบกับความขี้เกียจของลูก) ค่าเรียนยอมรับว่าตัวเองลงทุนไปมากทั้งเวลา เงิน และ ใจ ลองเช็คราคาดูได้ตามเบอร์โทรศัพท์ของแต่ละที่ติว(ส่วนใหญ่ค่าติวชั่วโมงละ500บาท ขึ้นไป)
ส่วนการติวที่บ้านขอบอกว่าทำอย่างที่พี่อ้อย คุณแม่น้องกานต์ทำเกือบเหมือนกันทุกอย่างเลยค่ะ เนื่องจาก เราชอบสอน ชอบคุย บอกอธิบายกับลูกอยู่แล้ว แนวทางการสอนลูกของพี่อ้อยเป็นเหมือนเช็คชีทสำหรับตัวเองเลยว่าอะไรที่ยังไม่ได้ลองสอนลองบอกลูกบ้าง เหมือนพี่อ้อยเป็นติวเตอร์ของแม่เฮี้ยงเลยค่ะ(ที่พึ่งทางใจอย่างเงียบ ๆ ของแม่เฮี้ยงอีกทางหนึ่ง)
3. การเลือกจะสอบสาธิตอะไรดี
ก็ต้องมาเช็คว่าลูกอยู่ในเกณฑ์อายุเท่าไหร่ตามแต่ละโรงเรียนจะกำหนด ต้องดูให้ดี ๆนะค่ะ เดี๋ยวอาจจะงง หลง ๆ ไปได้ นับเดือนให้ตรงตามเกณฑ์แบบเป๊ะ ๆ ห้ามเลยห้ามขาด ไม่มีการยืดหยุ่นใด ๆ ทั้งสิ้น
จนสุดท้ายถึงเวลาสอบเราต้องเลือกว่าจะสอบระหว่างสาธิต ม.ศ.ว. จุฬา หรือสาธิต บางเขน ตัวคุณแม่เอง คิดว่าลูกเหมาะกับร.ร.สาธิต จุฬา เพราะเท่าที่สังเกต ลูกชอบคิดนอกกรอบ มองเห็นอะไรที่คนอื่นมองไม่เห็น แต่ว่าการฟังใจจับความยาวทำได้ไม่แม่น ไม่คงที่ ไม่สม่ำเสมอ เพราะเคยติวลูกเล่าเนื้อเรื่องยาว ๆแล้วให้เลือกคำตอบ ไม่เคยตอบถูกหมดจะต้องมีผิด 2-3 ใน 5 ข้อ ในแต่ละบทความ เรารู้ว่าลูกจำไม่ได้ละเอียดแน่ ๆ ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะลูกเราฟังไว คิดไว ตอบไว ไอ้ที่จะมานั่งฟังเนื้อหานิทานยาว ๆ ครึ่งหน้าแล้วเลือกตอบแบบต้องสรุปใจความทั้งหมดเห็นท่าจะยากแฮะ อย่างเช่น (ลองดู นะคะ)
ในป่าแห่งหนึ่งมีสัตว์ต่าง ๆมากมาย เพื่อนสัตว์แต่ละตัวต่างเอื้อเฟื้อกัน เจ้าสิงโตใจดีให้ม้าขึ้นขี่ เจ้าหมูมาอยู่บนหลังม้า ต่อมาเจ้านกยูง เจ้าช้างนึกสงสารให้เจ้าสิงโตขึ้นหลัง พาเที่ยวชมป่ามาเจอเจ้าลิงกับกระรอก เจ้าลิงบอกเพื่อนรักกระรอกขอขึ้นก่อนแล้วจึงให้เพื่อนรักขึ้นตามมา ถามว่าในเรื่องมีสัตว์ทั้งหมดกี่ตัว และสัตว์ตัวใดไม่เกี่ยวข้อง สัตว์ที่อยู่ก่อนลำดับสุดท้ายคือใคร สัตว์ที่อยู่ล่างที่สุดคือใคร ถามว่าใครอยู่บนหลังม้า เป็นอย่างไรค่ะ ขอให้อ่านรอบเดียว และไม่มีจังหวะหยุดพักนะคะ ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่เองยังฟังไม่ทันเลยค่ะ เด็กอ่านหนังสือไม่ออก ข้อสอบมศว. มีแต่รูปภาพ เด็กต้องฟังคิดตามลำดับภาพพร้อมกันไปเลยไม่อย่างนั้นจำไม่ได้แน่นอน แถมมีการเปลี่ยนเครื่องหมายเป็นช่วง ๆด้วย แค่ฟังแนวการสอบก็คิดว่าจะไหวหรือเปล่าน้อ (ก็ลองดู อีกแล้ว)
พอมาเปรียบเทียบเรื่องอนุกรม เรื่องมิติสัมพัทธ์ ที่เราว่าลูกคงไม่เข้าใจแน่ ๆ เรื่องมุม เรื่องพับกล่อง เรื่องเหตุผล กลับทำได้ค่อนข้างดี แต่ไม่ได้คะแนนพุ่งมาก คุณครูบอกว่าน้องยังต้องเพิ่มทักษะความรู้เรื่องต่าง ๆพอสอนรู้แล้วก็หัวไว ใช้เวลาสอนไม่นานก็ตอบได้แต่ต้องบอกหรือสอนให้เจอโจทย์เยอะ ๆ ซึ่งก็เป็นจริง พอเอาข้อสอบให้ทำบ่อยขึ้นสามารถเลือกคำตอบได้ถูกต้องมากขึ้น แต่เรื่องการจับใจความการฟังเนื้อหายาว ๆเกินกว่า 3 บรรทัด ก็ตกม้าตายทุกทีไม่เคยรอด ยกเว้นแต่ว่าเนื้อหาไม่ซับซ้อนมากเหมือนนิทานเด็ก ๆทั่ว ๆ ไปจะสบายมาก แต่ถ้าฟังแล้วต้องมาจำลักษณะของแต่ละอย่างจำได้ไม่ครบทั้งหมดซักที
ตามที่ใคร ๆก็บอกว่าอายุที่แตกต่างจะมีผลทำให้การทำข้อสอบของเด็กแตกต่างกัน เราเห็นลูกเสียเปรียบถ้าจะสอบสาธิตเกษตรหรือ จุฬา เพราะกลายเป็นเด็กเล็กไปเลย เลยเอาม.ศ.ว. อย่างเดียวเพราะเรารู้ว่าวิ่งสอบสองที่คงไม่ไหวแน่
4. วันสอบ อยากจะบอกว่าคนมากมายมหาศาลมาจากไหนเยอะแยะ ทั้งผู้ปกครองและเด็กๆทุกคนก็มีลำแสงของความคาดหวัง ของความมุ่งมั่น ตั้งใจ อย่างมาก ส่องประกายออกมาจากดวงตา และท่าทาง ส่วนเด็กคนไหนร้องไห้งอแง พ่อแม่ก็อยากจะร้องไห้ตามเพราะรู้แล้วว่าโอกาสนี้มีครั้งเดียวมันก็คงจะจบกันซะแล้ว น่าเห็นใจอย่างมาก ๆ (อาจจะมีผู้ปกครองบางคนคิดว่า ดีเป็นการตัดผู้แข่งขันออกไปได้) แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดใช่ไหมค่ะ กว่าเค้าจะลงทุนทุกสิ่งทุกอย่างจนผ่านมาถึงวันนี้ เราผ่านเราเจอมาเราเข้าใจดี ได้แต่ส่งกำลังใจเงียบ ๆ ว่า สู้ ๆนะหนูนะ อย่าร้องไห้ เงียบซะนะ ถ้าไม่ติดว่าเราจะยุ่งกับลูกเค้าเกินไปไหมเนี่ย จะเดินไปปลอบใจให้จริง ๆด้วย (คิดในใจว่าเค้าจะว่าเราไหมเนี่ย) ทุกอย่างในวันนั้น ได้หมดทุกอย่างสำหรับลูก ช่างโชคดีเหลือเกิน ที่ลูกอารมณ์ดีไม่มีหงุดหงิด ดูท่าอยากจะสอบ ๆให้มันจบ ๆไปซะทีแล้ว
5. ประกาศผลสอบ ผลสุดท้าย ลูกสอบม.ศ.ว. ไม่ติด แต่มีประกาศจากของสาธิตเกษตร พหุภาษาว่า สอบผ่านให้ไปรายงานตัว เตรียมเข้ามอบตัว เราเลยคิดว่า ลูกเราไม่เหมาะกับ ม.ศ.ว. จริง ๆ ด้วย ช่างเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตจริง ๆได้มาเจอ เว็บน้องกานต์ ได้มาอยู่สาธิตเกษตร พหุภาษา ได้มาเจอประสบการณ์ที่แปลกใหม่ที่น้อยคนจะได้เข้ามาสัมผัส สุดท้ายต้องขอบใจลูกที่เป็นสุดยอดในใจของแม่ ช่างน่ารัก อึด สู้ มุมานะ ไม่ท้อ ถึงมีบ่นเหนื่อยบ้างตามประสาเด็ก แต่ก็ยอมรับฟัง และรับผิดชอบการเรียนได้ดี ไม่เคยขาดเลยตอนช่วงที่เตรียมตัวติวเข้า ร.ร.สาธิต รู้ว่าลูกเหนื่อย แต่ทิฐิ ความคาดหวัง ความอยากลอง กิเลสในใจของแม่ผลักดันให้พยายาม ๆ ๆ ๆจนท้ายที่สุด โชคชะตา และเวลา ผ่านมาจนถึงบัดนี้ลูกแม่ น้องเอมิจังคนเก่งก้กำลังจะขึ้นป. 3แล้ว เหมือนเหตุการณ์เกี่ยวกับการสอบเข้าของลูกเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
6. ข้อคิดจากประสบการณ์ครั้งนี้สำหรับเอมิ
1 . การติวที่ร.ร.สอนติวต่าง ๆที่รับกวดวิชา ไม่ได้รับประกันว่าลูกของเราจะสอบติด ขึ้นอยู่กับตัวของเด็กเองทั้งมวลทั้งสิ้น ความสามารถเฉพาะตัว เฉพาะแบบ ที่ต้องค่อย ๆสร้าง ไม่มีเด็กคนไหนเก่งจากการไปติวเพียง 2- 3 เดือน แม้ว่าจะอินเทนซีฟ เข้มข้นมากมายแค่ไหนก็ตามที
2.หากคิดจะลองสอบกรุณาขีดเส้นของความคาดหวังออกจากความตั้งใจสอบอย่างจริงจัง เพราะบางครั้ง ตัวเองก็เคยมีอาการสับสนในตัวเอง แบบว่าตอนแรกแค่ลอง พอคุณครูพูดให้ความหวังชักจะมีกำลังใจ บ้าติวลูกมาก ขนาดบางทีลืมเวลาพักของลูก ต้องเบรคตัวเอง ไม่ใช่เบรคลูกซะแล้ว หรือพอบางทีลูกอยากไปเล่นกับเพื่อนแต่แบบฝึกหัดยังทำไม่เสร็จ เราก็ต้องมีข้อต่อรองเยอะแยะมากมาย (ทำไปได้นะเรา) แล้วพอสุดท้ายความคาดหวังที่ถูกผลักดันไว้ มันไม่ตรงกับอาการการขยันขันแข็งของลูกเท่ากับที่เรามี ก็อดจะมีเคือง ๆ ลูกไม่ได้ ประเภทห้ามไฟในตัวตกนะลูก ( ช่างโหดร้ายกับเด็กเหลือเกิน)
3. การติวลูกไม่ได้ทำให้ลูกสามารถสอบติดได้ตามที่เราหวังไว้แต่เป็นบททดสอบความเป็นคน ความเป็นพ่อ เป็นแม่ ความรับผิดชอบของสังคมหน่วยเล็ก ๆที่เรียกว่าครอบครัว ว่ากำลังจะเสริมสร้างให้ลูกเป็นต้นกล้าแบบไหน (ให้รู้จักกล้าสู้ กล้าเผชิญความจริง กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ รู้จักอิ่มเอมกับมิตรภาพจากเพื่อนใหม่ หรือประสบการณ์ใหม่ ๆหรือไหม )
อย่างน้อย เราก็รู้จักและรู้ใจลูกเรามากขึ้น เหมือนว่าถ้าไม่มีวิกฤต ก็คงไม่เกิดโอกาส การที่เราติวลูกทำให้เค้าคล่องทางความคิดมากขึ้น ตัวคุณแม่รู้สึกอย่างนั้น เค้ามีระเบียบในตัวเอง และเรารักเค้ามากขึ้น ๆในทุก ๆวัน ที่เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เหมือนผ่านสมรภูมิรบมาด้วยกันยังไงยังงั้นเลย ต้องขอบใจลูกที่ช่วยสอนประสบการณ์การสร้างคนให้กับแม่อีกบทเรียนหนึ่งนะจ๊ะ เอมิจัง (เจ้าลูกลิงน้อยของแม่ รักนะจุ๊บ ๆ นะลูก)
เดี๋ยวว่างจะมาคุยต่อนะคะ เรื่องประสบการณ์การติวลูกคนที่สอง ก็เจอคนล่ะแบบจริง ๆ แบบหน้ามือกับหลังมือเลยล่ะค่ะ
นับเป็นประสบการณ์ความเครียดที่คนเคยผ่านมาเท่านั้นที่จะเข้าใจ ^_^ โชคดีที่อ้อยผ่านแค่ครั้งเดียว
แต่คุณเฮี้ยงต้องอึดกว่า 2 เท่าค่ะ เพราะสู้เพื่อลูกถึง 2 คน
เส้นทางการต่อสู้ของเอมิจังโหดมากค่ะ ยอมรับว่าเธออึดและเป็นนักสู้จริงๆ เรียนเสริมมากมายอ่านแล้วก็อยากติดตาม
ต่อว่าถึงคราวของยูริจัง จะออกมาแนวไหน
วันที่ 3 นี้ลูกเพื่อนจะไปสอบมศว.ประสานมิตรค่ะ อ้อยยังแซวเขาว่า "ฝากบอกลูกนะว่าไม่ต้องเครียด ทำชีทให้สนุกๆ
(เรื่องเครียดเดี๋ยวแม่จะเครียดให้เอง) ฮ่าฮ่า"
การพาลูกลงสนามสอบเข้า ป.1 ไม่ว่าจะเป้นแนวสาธิต หรือ แนววิชาการ ก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยมากของทั้งเด็กและพ่อแม่
แต่ละครอบครัวก็มีแนวคิดต่างกันไป หลายๆครอบครัวไม่อยากให้เด็กตัวแค่นี้ต้องมาเครียดกับการติว ไม่อยากให้ลูกต้องบอบช้ำจากความผิดหวังเกรงว่าหัวใจดวงน้อยๆจะรับไม่ได้พลอยหมดกำลังใจไปเลย แต่ชีวิตก็คือการต่อสู้ถึงไม่สู้วันนี้วันหน้าก็ต้องลงสนามอยู่ดี โดยส่วนตัวคิดว่าการเปิดโอกาสให้ลูกได้เห็นโลกภายนอกว่าการแข่งขันสูงเพียงใด อาจเป็นวัคซีนที่ดีช่วยทำให้ลูกแกร่งขึ้น ถึงสอบไม่ได้ก็ยังมีมุมดีๆให้มองอย่างที่แม่เฮี้ยงบอกน่ะค่ะ
ในหนังสือ อัจฉริยะฝึกได้ก่อนวัย12 หน้า 88 เขียนไว้ว่า ต้องเป็นคนชอบแข่งขัน
ก็ไม่รู้ว่าการติวลูกและพาลงสนามสอบตั้งแต่เล็ก เป็นผลผลักดันให้ทุกวันนี้กานต์มีความเป็นนักสู้ในตัวหรือเปล่า
เขาอยากลองสอบดูแทบทุกสนามแม้ว่าบางรายการจะต้องสอบวัดกับพี่ ป.6 ก็ยังอยากจะลองไม่กลัวที่จะแพ้