รู้จักกับแนวทางการศึกษาที่ผนวกความรู้ทางด้าน วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์, คณิตศาสตร์ และ การพัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับความท้าทายในโลกยุคใหม่ click! ที่นี่
ฝึกบวกเลขไปกับเกมสนุก ๆ ในร้านฟาสต์ฟู้ด! เด็ก ๆ จะสนุกกับการคำนวณและรู้สึกเหมือนเป็นมือโปร! click! ที่นี่
เปิดกว้างสำหรับเพื่อนสมาชิกที่ชอบการเขียน การจัดบันทึก การเขียน blog ก็คล้ายกับการที่เรามีสมุดกันคนละเล่มในนี้ อยากเขียนอะไรก็เขียน จะแบ่งให้ผู้สนใจและเพื่อน ๆ ได้อ่านแล้วมีส่วนร่วมผ่านทาง comment ก็ได้ หรือจะอยากเก็บไว้เป็นการส่วนตัวก็ได้ การเขียน blog จะช่วยทำให้เรารู้จักการเรียบเรียงเรื่องราวที่ต้องการจดบันทึก การนำเสนอ และได้แบ่งปันความรู้ นานาทัศนะต่อกัน ที่สำคัญ! ยังเป็นการบันทึกไว้ในโลกอินเตอร์เน็ตที่ใคร ๆ ก็มีโอกาสได้เห็น blog ของคุณ!
เจอบทความนี้ที่เว็บสอนคณิตศาสตร์ ชื่อmathhousetutor อ่านแล้วรู้สึกว่ามันโดนใจใช่เลยจริง..
ก็อยากนำมาฝากคุณครูสอนคณิตศาสตร์ค่ะ เพราะคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เด็กไทยเกลียดมากเป็น
อันดับหนึ่งครองแชมป์มาหลายสมัย ถ้าเราเปลี่ยนวิธีสอนก็อาจทำให้เด็กชอบคณิตศาสตร์ได้
ถ้าเด็กเข้าใจวิชาคณิตจะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับวิชาอื่นๆในระดับสูงต่อไป ..ไปแอบดูเทคนิคการ
สอนและตั้งโจทย์ของโรงเรียนในเวียดนานกันค่ะ
บทความ : ทำไมเด็กเวียดนามชอบเรียนคณิตศาสตร์ แต่เด็กไทยไม่?
ข่าวโทรทัศน์ช่องหนึ่งรายงานว่า“เด็กนักเรียนเวียดนามชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์กันมาก เพราะเรียน
แล้วรู้สึกสนุก“”เพื่อนผมคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังเมื่อสิบปีก่อนหลังจากกลับมาจากการเยือนมหาวิทยาลัย
ในเวียดนามว่า“ เด็กเวียดนามได้เหรียญทองในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกเป็นเข่งเลย” ในขณะ
ที่เมื่อเวลานั้นเด็กไทยไม่เคยได้รับ จะเพิ่งมาได้บ้างก็ในระยะหลังๆนี้เอง
หันมาดูการเรียนคณิตศาสตร์ในบ้านเราเองกันบ้าง แม้ว่าเราไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลได้
แต่เราคงทราบกันดีว่า คณิตศาสตร์ เป็น “ยาขม” สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ ผมเคยเห็นคะแนนสอบโอเน็ต
ในวิชคณิตศาสตร์ ( ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยชนิดอย่างง่าย)ปีล่าสุด พบว่าคะแนนเฉลี่ยในวิชาคณิตศาสตร์
อยู่ที่ประมาณร้อยละ24 เท่านั้น ทั้งๆ ข้อสอบเกือบทั้งหมดเป็นการเลือกคำตอบที่ถูกเพียง1 ตัวเลือกจาก
ทั้งหมด 4 ตัวเลือก ถ้าคิดกันตามหลักความน่าจะเป็นแล้ว คนที่ไม่มีความรู้เลยก็น่าจะมีโอกาสทำคะแนน
ได้ถึงร้อยละ25
ข้อมูลนี้สะท้อนอาการขั้นโคม่าของการศึกษาคณิตศาสตร์ในประเทศไทยอย่างชัดเจน
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมได้ถามนักศึกษาชั้นปีที่ 1 (ที่เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์)จำนวน 3 คนว่า
“สูตรพื้นที่วงกลมคืออะไร”ปรากฏว่านักศึกษาทั้งสามคนตอบไม่ถูกเลย
พวกเค้าลังเลว่า “ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับ สองเท่าของรัศมี หรือรัศมียกกำลังสองกันแน่”
ผมถามกลับไปว่า “ถ้าเป็นพื้นที่มันหมายถึงอะไรคูณอะไร แล้วหน่วยของมันเป็นอะไร และถ้าเป็น
ความยาวของเส้นหน่วยมันควรจะเป็นอะไร” พวกเขาก็ไม่สามารถตอบได้อีก
นี่ก็สะท้อนความล้มเหลวทั้งความจำและความเข้าใจของผู้เรียนผมเองเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
สอนวิชาคณิตศาสตร์มานานกว่า 30ปี ได้พบว่าปัญหานี้รุนแรงเพิ่มขึ้นมาเป็นลำดับ ผมเคยร้องเรียน
ต่อผู้หลักผู้ใหญ่ และบอกกล่าวกับสังคมมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบที่พยายาม
กันมากหน่อยก็คือการจัดการสอนแบบเข้าค่ายติวเข้มให้กับนักเรียนที่จะไปแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งก็ได้
ผลดีขึ้นระดับหนึ่ง การคัดตัวนักเรียนมาแข่งโอลิมปิกก็เหมือนการเลือกช้อนเอาแต่กะทิขึ้นมาดูแลเป็น
พิเศษ แต่สำหรับนักเรียนธรรมดาทั่วไปทั้งประเทศเรากลับไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเอาเสียเลย
ไม่กี่วันมานี้ ผมหยิบเอาหนังสือคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปี่ที่5 (จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เอกชน)
ขึ้นมาดูพบว่าเนื้อหาทั้งเล่มว่าด้วยการบวก ลบ คูณ หาร เท่านั้น แม้ว่าเนื้อหาจะดูสัมพันธ์กับชีวิตจริง
เช่น เรื่องกำไรขาดทุน แต่มันเป็นเรื่องของการคิดหาคำตอบที่เป็นตัวเลขเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้แม่ของเด็กเจ้าของหนังสือเล่มนี้บอกว่า“ลูกต้องเรียนพิเศษตลอดเลยทั้งปี” ถ้าวิธีการสอน
การสอนพิเศษ และการบ้านที่ให้เด็กทำเป็นอย่างนี้ แล้วเด็กที่มีหัวจิตหัวใจเป็นคนธรรมดาๆที่ไหนจะมา
ชอบคณิตศาสตร์ (.....ขอกรี๊ด โดนมากค่ะ)
เพื่อให้กระจ่างมากขึ้น ผมค้นเข้าไปในอินเตอร์เน็ต พบว่าการเรียนของประเทศเวียดนามมีอะไรน่าสนใจ
ที่แตกต่างจากของบ้านเรา ผมเอาตารางสอนของเด็ก ป.5 เวียดนามมาเทียบกับมัธยมศึกษาชั้นที่ 1
ของเมืองไทย (เพราะผมหา ป.5 ไม่ได้)พบว่า
เด็กเวียดนามเรียนสัปดาห์ละ 23 คาบ คาบละ 40 นาที มีรายวิชาทั้งหมด 9 วิชา คือ
วิชาว่าด้วยเรื่องของเวียดนาม (Viet-namese) 8 คาบ
คณิตศาสตร์มีความสำคัญในระดับสอง คือ 5 คาบ
แรงงาน (Labour) 3 คาบ ธรรมชาติ และสังคม 2 คาบ
ที่เหลืออีก 5 วิชา วิชาละ 1 คาบ คือ จริยธรรม , ขับร้อง-ดนตรี , วาดเขียน , สุขศึกษา และยิมนาสติก
(ผมไม่ทราบรายละเอียดมากกว่านี้ เช่น เอาเวลาที่เหลือไปทำอะไร)
สำหรับเด็กชั้น ม.1 ของไทย เรียนสัปดาห์ละ 35 คาบ คาบละ 55 นาที
โดยแต่ละวันมีกิจกรรมหน้าเสาธงเวลา 07.45 น.จนเลิกเรียน16.20 น. ในจำนวนนี้เรียนคณิตศาสตร์
สัปดาห์ละ 4 คาบ นี่ยังไม่นับการเรียนพิเศษตอนเย็น และวันเสาร์ อาทิตย์ เมื่อเด็กไทยต้องใช้เวลา
กับการเรียนมากมายถึงเพียงนี้ ถามว่าเด็กไทยจะไม่เครียดได้อย่างไร
ผมได้ตั้งข้อสังเกตว่า เนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ชั้น ป.5 มีแต่เรื่อง บวก ลบ คูณ หาร หรือการคำนวณ
เพียงอย่างเดียว พ่อกับแม่ที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับคณิตศาสตร์หลายท่าน จะรู้สึกดีใจเมื่อลูกของตน
สามารถคิดเลขได้เร็ว คูณเลขได้หลายหลัก แต่นั่นไม่ใช่หัวใจของคณิตศาสตร์ครับ นักวิชาการหลาย
คนเห็นตรงกันว่า “คณิตศาสตร์ คือ ศาสตร์ของการจัดรูปแบบ และลำดับ (Mathematics is a science
of pattern and order.)” ความสามารถในการเข้าใจรูปแบบ คือกุญแจสำคัญของการคิดทางคณิตศาสตร์
การศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบของสิ่งต่างๆรอบๆตัวนักเรียน คือหัวใจสำคัญสำคัญการคณิตศาสตร์ในระดับ
ประถมศึกษาไม่ใช่รูปแบบของตัวเลข แต่เป็นตรรกะในการจัดรูปแบบของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า
ศิลปะ โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯที่อยู่ใกล้ตัว
เพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้น ผมขอยกตัวอย่างข้อสอบของเด็กเวียดนามชั้น ป.5 ที่น่าสนใจมาให้ดูเป็นตัวอย่าง
สักสี่ข้อครับ
ข้อแรก เป็นเรื่องของการสังเกตและเปรียบเทียบว่า สิ่งใดมีน้ำหนักมากที่สุด(ดูรูปที่ 1)
ข้อต่อมา ถามว่าจะต้องใช้รูปที่หนึ่งจำนวนกี่รูปจึงจะมีพื้นที่เท่ากับรูปที่สอง(ดูรูปที่ 2)
ข้อที่สาม จงหาพื้นที่สวนที่มีขนาดดังรูป ข้อนี้แม้จะต้องมีการคำนวณ แต่ก็ต้องมีการจัดรูปแบบหรือ
จัดหมวดหมู่กันก่อนว่าส่วนใดเป็นวงกลมส่วนใดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า (แต่ตัวเลือกไม่ค่อยสมเหตุสมผล
ไปหน่อย) (ดูรูปที่ 3)
ข้อสุดท้าย (จากทั้งหมด 50 ข้อ) เป็นเรื่องของการจัดหมู่ ถามว่ามีกี่วิธีที่จะสามารถนำจำนวนสี่จำนวน
มาทำเป็นเศษส่วนแท้(ดูรูปที่4)
อนึ่ง ข้อสอบของเด็กเวียดนามชุดนี้ก็ยังมีเรื่องของการบวก ลบ คูณ หาร เหมือนกันครับไม่ใช่ไม่มี
แต่เขามีความหลากหลายในเนื้อหา และวิธีการคิดที่สอดคล้องความหมายของวิชาคณิตศาสตร์ที่ว่า
คณิตศาสตร์คือศาสตร์ของการจัดรูปแบบและลำดับความสามารถในการเข้าใจรูปแบบคือกุญแจสำคัญ
ของการคิดทางคณิตศาสตร์
และถ้าเราเป็นเด็กที่ต้องเรียนวิชานี้ เราพอจะนึกออกไหมครับว่า อย่างไหนน่าสนุก อย่างไหนน่าเบื่อกว่ากัน
http://www.mathhousetutor.com/article/article0007.php
www.karn.tv สื่อการสอนระดับ อนุบาล - ประถมต้น (ช่วงชั้นที่ 1) รวมแบบฝึกหัด ตัวอย่างข้อสอบ กิจกรรมเพิ่มทักษะ ข้อมูลการศึกษา โรงเรียน |
เด็กไทยเราส่วนใหญ่(ผู้ปกครอง)มีความกลัวว่าลูกจะทำสิ่งต่าง ๆไม่ได้ดี กลัวว่าลูกจะเจ็บตัว ก็เลยไปตัดความคิดของเด็กออกไป
หน้าที่ของความคิดเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่เกือบทั้งหมดเลย ไม่ยอมฝึกให้เด็กมีความคิดไม่ใช่แต่เรื่องคณิตศาสตร์ เรื่องทำงานส่วนตัว หรือเรื่องต่างๆ ที่เด็กเขาต้องทำเอง ต้องปล่อยให้น้องเขาทำเองถึงแม้ว่าผลงานจะออกมาไม่สวยหรูแต่มันเป็นผลงานชิ้นเองของเขา เพราะเมื่อทำสำเร็จเจ้าตัวน้อยของเราจะมีความเชื่อมั่นในตนเอง ผมคิดว่านั้นคือพื้นฐานในการเรียนรู้ในรายวิชาต่างๆ ต่อไป