โพสต์โดย amijung
amijung
amijung ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
เมื่อ พุธ, 09 พฤษภาคม 2012
ใน บันทึกลูกรัก
เรื่องคุยของลูกตอนที่10(เมื่อเอมิอยู่ป.1 แม่จึงเข้าใจคำว่าเพื่อน)
ดิฉันยังจำวันแรกของการเปิดเทอมตอนที่เอมิจังเข้าเรียนป.1ได้อยู่เลย วันนั้นเราไปส่งเอมิที่โรงเรียนแต่เช้า ไม่ใช่เช้าธรรมดาแต่เป็นเช้ามากเพราะว่าหลังจากที่คุณพ่อส่งเสร็จแล้วก็ต้องขับรถไปทำงานต่อ. เราเตรียมตัวตื่นตั้งแต่ตี5 กว่าจะออกจากบ้านประมาณ 5.30น. ไปถึงโรงเรียนตั้งแต่6.30น. ถ้าใครรู้ก็คงจะบอกว่าตื่นมาทำไมตั้งแต่เช้าตรู่ เอมิกับดิฉันคงจะมาเป็นคนแรกของโรงเรียนเลยล่ะค่ะ. ที่จริงเพราะเรากะเวลาไม่ถูกเลย บ้านอยู่สมุทรปราการ ไปส่งลูกที่ชลบุรีแล้วตัวคุณพ่อก็ต้องไปทำงานที่ฉะเชิงเทราต่อซึ่งจะต้องเข้าโรงงานก่อน7.30น. ทุกวัน การที่มาโรงเรียนเร็วทำให้เอมิมีเวลานั่งทานข้าวเช้าที่เตรียมมา มีเวลาให้ลูกได้เล่นที่สนามเด็กเล่นซึ่งกว้างมากๆและมีเครื่องเล่นให้ได้ออกกำลังกาย ก่อนที่จะเตรียมไปที่ห้องเรียนเพื่อจะได้เจอกับเพื่อนๆที่ห้อง ดิฉันบอกตามตรงว่าค่อนข้างจะใส่ใจกับการที่ลูกจะมีเพื่อนสนิทหรือเข้ากลุ่มกับเพื่อนแบบใดเพราะดิฉันรู้ดีว่า คำว่า เพื่อนสำหรับเด็กนั้นมีอิทธิพลมากทั้งการเรียนความเอาใจใส่และแนวทางการประพฤติตัว เพราะเด็ก ไม่ว่าคนใดก็คงอยากได้รับการยอมรับในกลุ่มหรือในชั้น. ดิฉันมีความเชื่อมั่นและเชื่อใจลูกว่าลูกมีความสามารถในการดูแลตนเองได้ดีมาก แต่ที่กังวลคือ ลูกเป็นเด็กคล่อง เร็ว แก่นไม่เรียบร้อย ขี้เล่นติดตลก พูดจาตรง ค่อนข้างพูดเร็วบางทีไม่คิดให้ถี่ถ้วน. เดี๋ยวเกิดคำพูดคำจาไม่เข้าหูเพื่อน เพื่อนจะเข้าใจผิดได้ ดิฉันจึงย้ำเรื่องการออกความคิดเห็นการพูดจาต้องระมัดระวังมากๆ โชคดีที่ลูกเป็นคนปรับตัวเก่ง เข้ากับคนอื่นง่ายร่าเริงแจ่มใสและมีความคิดเห็นมีความกล้าแสดงออก. จึงมีเพื่อนมากมาย บางครั้งก็มีพี่โต ๆชั้นอื่นมาทัก ดิฉันเลยถามว่ารู้จักได้อย่างไร ลูกบอกว่า พี่เค้าเห็นหนูพูดเก่งเลยเข้ามาคุยด้วยเลยรู้จักกัน. โอ้โหรู้จักข้ามชั้นเลยหรือเนี่ย. เพื่อนของลูกมีหลายแบบมากๆ มีทั้งที่ครอบครัวฐานะดีมากเป็นเจ้าของโรงงาน บริษัท มีธุรกิจระหว่างต่างประเทศ เป็นทหาร เป็นพยาบาลเป็นคุณหมอ สารพัดอาชีพที่ตำแหน่งหน้าที่การงานดีๆ บางครอบครัวก็เป็นระดับคุณแม่เป็นคุณหญิงหรือนามสกุล ประเภท. ณ. ....(. จังหวัด). แต่บางครอบครัวก็มีฐานะปานกลางอย่างดิฉันไม่ได้มีอะไรเลิศเลอเป็นพิเศษ บางครอบครัวก็เป็นพนักงานบริษัทธรรมดา แต่เราก็สามารถคบพูดคุยกันได้หมด แรกๆดิฉันเองก็คิดว่าผู้ปกครองที่เค้ามีฐานะดีๆ. เค้าก็คงจะมีความรู้สึกแบ่งแยก แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย. ช่วงแรกดิฉันเองแทบจะไม่รู้จักผู้ปกครองด้วยกันเลย เพราะทุกคนมารับลูกแล้วก็ต่างรีบกลับบ้านเนื่องจากแต่ละคนอยู่กันไกลๆทั้งนั้นและถ้าออกช้ากว่า5 โมงเย็น รถตรงหน้าร.ร.จะติดมาก เนื่องจากทุกบริษัทจะมีรถรับส่งพนักงานพากันขับผ่านมาทางออกของนิคมซึ่งต้องผ่านโรงเรียนด้วย. ดิฉันได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนผู้ปกครองแบบจริงๆจังๆก็เมื่อผ่านไปได้ประมาณ 2. เดืือนแล้วและช่วงที่โรงเรียนมีกิจกรรมศิษย์-ลูก ทำให้ได้รู้จักเพื่อนผู้ปกครองมากขึ้น วันที่ไปพบกับเพื่อนผู้ปกครองด้วยกันพอได้คุยแล้วรู้ว่าเป็นคุณแม่ของเอมิจัง ผู้ปกครองส่วนใหญ่รู้จักลูกเราหมดเลย เอ ไหง... รู้จักกันหมดเลย เลยมารู้ทีหลังว่าที่รู้จักเพราะเอมิไปโรงเรียนเป็นคนแรกของห้องป.1/3 ไม่ว่าผู้ปกครองของเพื่อนคนไหนมาส่งมาเพื่อนๆของเอมิ. เอมิก็จะมีโอกาสทำความรู้จักพูดคุย หรือบางครั้งก็มีผปค.บางคนทั้งแหย่และหยอกเล่นเป็นที่สนุกสนานเพราะลูกร่าเริงแจ่มใส ชอบคุย และในทุกๆเช้า ไม่ว่าจะวันไหนก็ตามเพื่อนไม่เคยมาก่อนเอมิจังเลย. ขนาดมีการทำบอร์ดติดบนกระดานในห้องว่าใครเด่นด้านใด. เอมิก็ยังได้รับโหวตจากเพื่อนๆในห้องว่า. มาโรงเรียนไม่สายและมาเช้าที่สุดของห้องอีกด้วยเป็นอันดับหนึ่งเลย. ซึ่งคำถามที่เพื่อนผู้ปกครองทักตอนเจอคือ ลูกคุยเก่งจริงๆกล้าไม่กลัว ทำไมมาเช้าจังบ้านอยู่ที่ไหนเนี่ย และอีกหลายคำถามตามมาว่าอายุเท่าไหร่(เพราะเห็นตัวเล็กเปี๊ยกเลยทำไมคล่องจัง). เรียนมาจากที่ไหน จบอนุบาลไหน (เพราะส่วนใหญ่ เค้าจะจบอ. 3กันมาก่อนแล้ว แถมบางคนตัวโต อายุก็มากกว่าเกือบครบปีเลย ไม่น่าเชื่อว่าตัวแค่เนี่ยจะเป็นหัวหน้าห้อง แถมเห็นอุ้มกระเป๋าล้อลาก(กระเป๋านักเรียน) ขึ้นลงบันไดแบบว่องไวเลย จะทำอะไรก็ออกจะปรู้ดปร้าด ดิฉันเลยอยากจะบอกว่า ส่วนหนึ่งขอยกความดีความชอบให้กับการเรียนการสอนจากร.ร.เจริญพงศ์ แบบอีพี ที่เอมิจังได้ผ่านมา ลักษณะการเรียนการสอนร่วมกับการส่งเสริมสนับสนุนสิ่งที่ลูกชอบและอยากเรียนรู้ สร้างให้เค้าเป็นเด็กที่คล่องแคล้วกล้าคิด กล้าพูดกล้าแสดงออก(. ลูกเรียนกับคุณครูต่างประเทศทำให้กล้าคุยกับคนแปลกหน้าไม่กลัว. ชอบทำกิจกรรมทุกอย่างที่โรงเรียนจัด เช่น. คัดเลือกเป็นตัวแทนไปแข่งกีฬา แสดงบนเวที ยิ่งถ้าได้ยืนข้างหน้า เห็นชัด ๆจะชอบมาก ถ้ามีการแข่งขันใดๆในห้องก็เต็มที่ประเภทจริงจังสู้ ๆ ตลอด. ดิฉันว่าเค้ามีทัศนคติที่ดีมาก ๆกับคุณครูที่นั่น ทำให้เค้ารักการเรียนมากๆ และเป็นพื้นฐานที่เข้มแข็งที่ทำให้เค้าไม่กลัวกับปัญหาหรือการเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกใหม่ตลอดเวลา. ).
การที่ลูกมีช่วงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างจากเพืื่อนๆตอนอยู่ อนุบาล 2 ทำให้ดิฉันอดจะชื่นชมในความเติบโตทางสังคมของเค้ามากขึ้นไม่ได้เลยทีเดียว. ถ้าจะว่าไปเค้าต้องปรับตัวอย่างมากหลายๆเรื่องดิฉันมองว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะสำหรับเด็กตัวเล็ก อายุ 5ขวบครึ่งที่จะต้องมาทำตัวเหมือนเด็กโตที่เค้าพร้อมสำหรับการอยู่ป.1แล้ว.จากเดิมที่เรียนโรงเรียนใกล้บ้านนอนตื่นสายๆได้(8.00น. ค่อยตื่นก็ทัน)เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้านมากๆเลยก็ ต้องมาตื่นนอนตอน5.40น.อาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน. แล้วกว่าจะได้กินข้าว กว่่าจะกลับถึงบ้าน. กินข้าวทำการบ้าน. อ่านนิทาน เข้านอน (เอมิจังต้องฟังนิทานทุกวันไม่งั้นไม่ยอมนอนจะงอนมากเลยถ้าไม่ได้เล่าให้ฟัง). คุณพ่อคุณแม่เชื่อไหมค่ะว่าตลอดช่วงหนึ่งสัปดาห์แรกที่ดิฉันไปส่งที่โรงเรียนแล้วก็รอรับกลับ โดยให้กินข้าวเย็น ทำการบ้าน. วิ่งเล่น เล่นที่สนามกับเพื่อนที่โรงเรียนระหว่างรอคุณพ่อขับรถมารับกลับตอน 18.30 น. เอมิหลับตั้งแต่ได้ขึ้นรถจนกระทั่งถึงบ้านก็ไม่ตื่น ลูกหลับพร้อมชุดนักเรียนที่ใส่มา แล้วก็มาตื่นตอนเช้าอีกที ติี 5 ครึ่ง พร้อมกับอาบน้ำแล้วก็เปลี่ยนชุดนักเรียนใหม่. (เป็นไปได้ไงค่ะ ใช่ไหมค่ะ )ที่เรียกว่าเรียนเล่นกันจนสุดๆสลบกลับมาบ้านเลย ดิฉันก็เพิ่งจะเห็นจากลูกนี่ล่ะค่ะ. แต่หลังจากเข้าสัปดาห์ที่ 2. ดิฉันเริ่มจะไปดูลูกบ้างเป็นบางวัน วันไหนถ้าไปดูลูก การบ้านก็จะเสร็จเรียบร้อยมาจากโรงเรียน แต่ถ้าวันไหนให้ลองรับผิดชอบทำการบ้านเอง ลูกบอกว่าทำไม่ได้เพราะอ่านโจทย์ไม่ค่อยเข้าใจ(ช่วงเพิ่งเปิดเทอม ความรู้ก็ยังแค่อุบาล 2อยู่เล้ย). ดิฉันจึงต้องคอยตามประกบสอนการบ้านลูกตลอดช่วงระยะเดือนกว่าๆ. จากนั้นดิฉันก็เริ่มบอกให้รู้จักทำการบ้านให้เสร็จก่อนที่จะไปเล่นหรือทำอย่างอื่นก่อนกลับบ้าน ทำให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ด้วยตัวเองไปก่อนถ้าไม่เข้าใจจริงๆให้เว้นไว้แล้วค่อยมาทำต่อที่บ้าน (ช่วงนี้ดิฉันได้รับความเอื้อเฟื้อจากเพื่อนผปค.ที่รู้จักฝากกลับมาแล้วดิฉันไปรับต่ออีกทีกลางทาง). ไม่น่าเชื่อว่าลูกจะแสดงให้เห็นว่า เค้ามีความรับผิดชอบมากแค่ไหน ดิฉันแอบไปยืนซุ่มดูลูกว่า ลูกทำอะไร อย่างไรบ้างช่วงที่เค้าต้องรอกลับกับเพื่อนก็เห็นว่าเค้าหยิบการบ้านมาทำแทนที่จะไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆที่วิ่งมาชวน. โอ้โหเอมิลูกแม่เก่งจัง โตแล้วจริงๆด้วย
เฮ้อ. แต่อะไรมันก็ไม่แน่นอน. เพื่อนผปค.ที่เคยฝากกลับด้วย เริ่มยุ่งรับส่งไม่สะดวก. เอมิก็เลยต้องขึ้นรถตู้รับส่ง. มารับที่บ้านตอน5.45น. แล้วก็กลับถึงบ้านประมาณ ทุ่มครึ่งเป็นอย่างงี้่ประมาณสามเดือน. โอ้ว. ลูกสาวตอนนี้จากดอกมะลิบานเช้า. กลายเป็นดอกมะลิเหี่ยวช้ำ น่าสงสารมากๆ มันทรมานใจจังโรงเรียนดีแต่อยู่ไกล ถามลูกว่าเอาไหงดี ไหวไหม อยากย้ายโรงเรียนใหม่ไหม ลูกบอกคำเดียวว่าไหว อย่าย้ายโรงเรียน จะเรียนที่นี่ ไม่ย้ายเด็ดขาด. เพราะที่นี่สนุกมาก. ไม่มีวันไหนที่จะไม่อยากไปโรงเรียน. แต่ตอนนี้ที่ไม่ชอบคือตื่นแต่เช้าจริง แต่รถตู้มาส่งที่โรงเรียนช้า ไม่สาย แต่ไม่ชอบอยากมาเช้ากว่านี้. จะบอกว่าบังเอิญก็ไม่ผิด ช่างเป็นโชคดีของลูกที่เผอิญมีอาจารย์แนะนำให้รู้จักกับเพื่อนผู้ปกครองที่่อาจารย์เคยสัมภาษณ์ตอนคัดเลือกเข้ามาเรียนที่นี่ว่า. มีอยู่ครอบครัวหนึ่งเคยไปอยู่ที่ญี่ปุ่น โครงการเดียวกันกับที่ดิฉันและสามีของดิฉันเคยไปมาเมื่อหลายปีก่อนเลยได้รู้จักกับคุณปุ๊ก สามีทำงานอยู่บริษัทเดียวกับสามีีดิฉันแต่คนละโรงงาน เลยได้รู้ว่าบ้านอยู่ใกล้กันห่างกันไม่กี่กิโลเมตรเลย. แถมน้องปุ๊กยังแนะนำให้ได้รู้จักกับคุณโอ๋(คุณแม่ของน้องอุ้ม). โชคดีมากที่บ้านคุณโอ๋ก็ห่างจากบ้านของดิฉันไม่ไกลมากเหมือนกัน. เรียกได้ว่าอยู่ละแวกเดียวกัน ดิฉันก็เล่าให้ฟังว่าอาจจะต้องคิดใหม่เรื่องย้ายโรงเรียนเพราะคุณพ่อสะดวกไปส่งแต่ไม่สะดวกรับกลับเพราะบางทีมีประชุมเลิกดึก ส่วนถ้าจะให้จ่ายค่ารถเฉพาะค่ารถขากลับอย่างเดียวก็ไม่คุ้มเลยเพราะเค้าคิดเกือบเต็มราคาอยู่แล้ว. แถมลูกกลับดึกทุ่มกว่าทุกวันเลย หลับคอตกมาในรถเลย. การเรียนก็เริ่มต่ำด้วย จากเดิมทำได้เต็ม ตอนนี้ชักจะไม่รอบคอบซะแล้ว กลัวว่าลูกจะไม่ไหวหรือเปล่าน้า... ดิฉันกลุ้มใจมากกับการหาโรงเรียนใหม่อยู่เกือบสัปดาห์ก่อนที่จะได้มาเจอคุณโอ๋. คุณรู้ไหมค่ะ ความทุกข์ ความวิตกกังวล ความสับสนในเส้นทางเดินด้านการศึกษาของลูก ที่มันย้อนกลับมาทำให้ดิฉันต้องหาทางวางแผนใหม่. ความเสียดายถ้าลูกจะไม่ได้เรียนที่นี่ต่อ มันมลายหายสิ้นไปด้วยคำพูดที่เอื้อเฟื้อของคุณโอ๋ว่า. เดี๋ยวโอ๋รับเอมิจังกลับให้เลยดีกว่า. เค้าจะได้ไม่่เหนื่อยจนเกินไป. ดิฉันมองว่าคุณโอ๋เปรียบได้กับผู้ช่วยเหลือ ผู้มีอุปการะคุณ. ผู้ที่มีน้ำใจให้กับเพื่อนใหม่(ในขณะนั้น). เพราะเพิ่งได้คุยกันแป๊บ ๆ ไม่กี่ครั้งเอง แถมคุณโอ๋ยังไม่ยอมรับเงินค่าน้ำมันรถด้วย. ไม่ว่าดิฉันจะให้ยังไงก็ปฎิเสธไม่เอาตลอด. คุณโอ๋เป็นธุระรับลูกกลับบ้านพร้อมน้องอุ้ม ลูกสาวคนโต วันไหนที่ดิฉันไปรับช้าก็เลี้ยงข้าว ดูแลให้ทำการบ้าน เวลาเอมิไม่สบายก็เอาใจใส่รีบบอก. ช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี ดิฉันเห็นความแตกต่างระหว่างการนั่งรถตู้กลับบ้าน กับการกลับบ้านพร้อมคุณโอ๋ มันช่างแตกต่างกันมากจริงๆ คะแนนสอบหน่วยที่เคยได้ต่ำๆกลับมาคะแนนพุ่งขึ้นทุกวิชา ลูกก็ร่าเริงขึ้นมากทีเดียว เพราะตอนเช้าคุณพ่อไปส่งก็ถึงโรงเรียนเช้าเหมือนเดิม แถมตอนกลับก็เร็วขึ้นบางทีถึงบ้านก่อน5โมงเย็นแล้วยังไงก็ไม่เกิน 6 โมงเย็นด้วย(ในวันที่ลูกทำเวรหรืออยู่เล่นที่สนามเด็กเล่นที่โรงเรียนตอนเย็น).ในทุกๆครั้งที่ผลการเรียนออกมาดิฉันก็จะบอกให้เอมิจังได้รู้ว่า. น้าโอ๋เป็นคุณน้าที่น่ารักมีน้ำใจ เห็นใจครอบครัวของเราและเอมิมาก. การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามลำบากอย่างนี้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ถือว่าเป็นมิตรแท้ที่หายาก. บางคนอาจจะคิดว่าก็แค่นั่งรถกลับมาด้วยกันเท่านั้นเองไม่เห็นจะมีอะไร. แต่อยากให้คุณผู้ปกครองลองนึกภาพที่โรงเรียนเด็กๆป.1 ตัวเล็กๆเดินลากกระเป๋าแบบล้อลากเดินออกจากโรงเรียนไปลานจอดรถ บางวันฝนตก ดินเฉอะแฉะ. บางวันแดดร้อนจัด กระเป๋าก็หนัก ลานจอดรถก็เป็นกรวดโรยแบบหยาบๆ ลากกระเป๋าข้ามลำบาก มีครั้งหนึ่งโรงเรียนเคยมีน้ำท่วม ต้องเดินลุยน้ำพาลูกกลับบ้าน. วันไหนไม่สามารถรับกลับบ้านได้ก็รีบโทรมาบอก. ไม่เคยละเลยก็คุณโอ๋ คนนี้แหละที่คอยพ่วงลูกสาวของดิฉันไปไหนต่อไหนด้วยตลอด แถมเลี้ยงข้าวเย็นอยู่หลายมื้อ ดิฉันจึงยังนึกขอบคุณและอดชื่นชมในความมีน้ำใจและความช่วยเหลือที่มีให้อยู่เรื่อยมาแถมยังต้องขอบคุณไปถึงยังครอบครัวของคุณโอ๋ที่เห็นใจในภาระความลำบากของเอมิจังและครอบครัวเรา ไม่นึกว่าวิกฤตที่ลูกเกือบจะต้องย้ายโรงเรียนกลายมาเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้ได้รู้ซึ้งถึงคำว่าเพื่อนแท้ มิตรแท้ยังมีอยู่จริง สำหรับคนที่กลัวการขับรถยนต์อย่างดิฉัน(ถึงแม้นว่าจะมีใบขับขี่รถยนต์ตลอดชีพก็เถอะ)มันมีความหมายมากมายเลยจริงๆนะคะ ถ้าใครที่ขับรถไม่คล่องคงจะเข้าใจดี. นี่เป็นตัวอย่างที่ดิฉันได้เจอกับตัวเองว่าผปค.ก็ต้องมีเพื่อนค่ะไม่ว่าจะช่วยกันเรื่องรับส่งลูก. การทำการบ้าน. ใบงาน การติวหาข้อสอบมาลองทำดู การแชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูก มันมีความจำเป็นและสำคัญมากๆจริงๆ
ดิฉันว่าความเอื้อเฟื้อที่ดิฉันกับลูกได้รับ ไม่เพียงเฉพาะได้จากเพื่อนผปค.ที่รู้จักกันเท่านั้น เหตุการณ์ที่ ดิฉันยังประทับใจไม่หายคือเมื่อตอนป.1ช่วงหน้าฝน มีอยู่วันหนึ่งรู้สึกจะเป็นวันศุกร์ ดิฉันพายูริ(ประมาณ3ขวบ) ไปรับเอมิที่โรงเรียน. เกิดฝนตกหนักมาก เรามีแค่เสื้อกันฝนสำหรับเอมิที่ีใส่ติดกระเป๋ามาโรงเรียนอยู่ทุกวันเอามาใส่ให้เอมิกับยูริเดินออกไปหน้าโรงเรียนเพื่อรอขึ้นรถของคุณพ่อ. ดิฉันเองก็เปียกฝนอยู่บ้างเหมือนกัน. ระหว่างยืนรอรถที่คุณพ่อกำลังติดทางเลี้ยวอยู่ด้านหน้าโรงเรียน. ก็มีผปค.เป็นผู้หญิงยื่นร่มที่กางไว้อยู่ก่อนแล้ว บอกให้ดิฉันรับร่มไป ดิฉันเองก็เกรงใจเพราะผปคก็จะต้องเปียกด้วยซิถ้าให้ดิฉันยืมร่ม แล้วก็บอกตามตรงว่าไม่ได้รู้จักอะไรกันมาก่อนเลย เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ผปค.รีบส่งร่มให้แล้ววิ่งไปลานจอดรถอย่างเร็วเลย ดิฉันคิดว่าเค้าคงจะสงสารแม่ลูกสามคนมายืนรอเปียกกันอย่างงี้แน่ๆเลย. แต่คุณลองคิดดูซิค่ะว่าเค้ายอมเปียกยื่นความช่วยเหลือให้เราทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ คุณคิดว่าคุณจะเจอน้ำใจจากคนที่เราไม่รู้จักมาก่อนแบบนี้ได้จากที่ไหน.
นึกถึงเหตุการณ์ตลอดช่วงเวลาที่เอมิได้เรียนที่นี่มา 2 ปีได้เจอประสบการณ์ที่ดีๆมากมายเป็นความประทับใจของมิตรภาพมากมาย. ถ้าเรารู้จักเปิดใจแบ่งปันรู้จักการรับและการให้ สังคมที่นี่ถึงได้มีแต่ความสุข หรือถึงจะมีเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาแต่ถ้าเปิดใจให้กว้างก็จะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆได้มากมายอย่างคาดไม่ถึง คุณผู้ปกครองล่ะค่ะอย่าลืมทำความรู้จักกันไว้เยอะๆนะคะ เป็นมิตรกันไว้เยอะๆเพราะบ้านหลังที่สองของลูกเรานี้เรายังอยู่อีกนาน นานมากนะคะ ดีต่อกันในทุกๆวันลูกๆคงจะมีความสุขทั้งบ้านหลังแรกและหลังที่สองค่ะ. รักเพื่อนผู้ปกครองทุกๆคนค่ะ
คำค้นหา: ไม่ระบุคำค้นหา
ในสังคมไทยเรายังมีคนดี ๆ อีกเยอะนะคะ...ความเป็นแม่ของลูก ๆ ทำให้ผู้หญิงเราได้เห็นใจกัน...ขอชื่นชมกับคุณโอ่ และผู้ปกครองที่มีน้ำใจทุกท่านคะ