รู้จักกับแนวทางการศึกษาที่ผนวกความรู้ทางด้าน วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์, คณิตศาสตร์ และ การพัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับความท้าทายในโลกยุคใหม่ click! ที่นี่


ฝึกบวกเลขไปกับเกมสนุก ๆ ในร้านฟาสต์ฟู้ด! เด็ก ๆ จะสนุกกับการคำนวณและรู้สึกเหมือนเป็นมือโปร! click! ที่นี่

เกมคิดราคาอาหารร้าน fast food


ป้ายโฆษณา

ป้ายโฆษณา

ก่อนซื้อโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์มือสอง ตรวจ S/N ที่แจ้งหาย/ถูกขโมยที่นี่!! BlockSerial.Com
คุณกำลังหาหรืออยากได้อะไรใน karn.tvclick ที่นี่!

 

Blog Me!

เปิดกว้างสำหรับเพื่อนสมาชิกที่ชอบการเขียน การจัดบันทึก การเขียน blog ก็คล้ายกับการที่เรามีสมุดกันคนละเล่มในนี้ อยากเขียนอะไรก็เขียน จะแบ่งให้ผู้สนใจและเพื่อน ๆ ได้อ่านแล้วมีส่วนร่วมผ่านทาง comment ก็ได้ หรือจะอยากเก็บไว้เป็นการส่วนตัวก็ได้ การเขียน blog จะช่วยทำให้เรารู้จักการเรียบเรียงเรื่องราวที่ต้องการจดบันทึก การนำเสนอ และได้แบ่งปันความรู้ นานาทัศนะต่อกัน ที่สำคัญ! ยังเป็นการบันทึกไว้ในโลกอินเตอร์เน็ตที่ใคร ๆ ก็มีโอกาสได้เห็น blog ของคุณ!

โพสต์โดย amijung
amijung
amijung ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
เมื่อ พุธ, 09 พฤษภาคม 2012
ใน บันทึกลูกรัก

เรื่องคุยของลูกตอนที่10(เมื่อเอมิอยู่ป.1 แม่จึงเข้าใจคำว่าเพื่อน)

        ดิฉันยังจำวันแรกของการเปิดเทอมตอนที่เอมิจังเข้าเรียนป.1ได้อยู่เลย วันนั้นเราไปส่งเอมิที่โรงเรียนแต่เช้า ไม่ใช่เช้าธรรมดาแต่เป็นเช้ามากเพราะว่าหลังจากที่คุณพ่อส่งเสร็จแล้วก็ต้องขับรถไปทำงานต่อ.   เราเตรียมตัวตื่นตั้งแต่ตี5 กว่าจะออกจากบ้านประมาณ 5.30น.  ไปถึงโรงเรียนตั้งแต่6.30น.  ถ้าใครรู้ก็คงจะบอกว่าตื่นมาทำไมตั้งแต่เช้าตรู่ เอมิกับดิฉันคงจะมาเป็นคนแรกของโรงเรียนเลยล่ะค่ะ.  ที่จริงเพราะเรากะเวลาไม่ถูกเลย บ้านอยู่สมุทรปราการ ไปส่งลูกที่ชลบุรีแล้วตัวคุณพ่อก็ต้องไปทำงานที่ฉะเชิงเทราต่อซึ่งจะต้องเข้าโรงงานก่อน7.30น. ทุกวัน การที่มาโรงเรียนเร็วทำให้เอมิมีเวลานั่งทานข้าวเช้าที่เตรียมมา มีเวลาให้ลูกได้เล่นที่สนามเด็กเล่นซึ่งกว้างมากๆและมีเครื่องเล่นให้ได้ออกกำลังกาย ก่อนที่จะเตรียมไปที่ห้องเรียนเพื่อจะได้เจอกับเพื่อนๆที่ห้อง  ดิฉันบอกตามตรงว่าค่อนข้างจะใส่ใจกับการที่ลูกจะมีเพื่อนสนิทหรือเข้ากลุ่มกับเพื่อนแบบใดเพราะดิฉันรู้ดีว่า คำว่า เพื่อนสำหรับเด็กนั้นมีอิทธิพลมากทั้งการเรียนความเอาใจใส่และแนวทางการประพฤติตัว เพราะเด็ก ไม่ว่าคนใดก็คงอยากได้รับการยอมรับในกลุ่มหรือในชั้น.       ดิฉันมีความเชื่อมั่นและเชื่อใจลูกว่าลูกมีความสามารถในการดูแลตนเองได้ดีมาก       แต่ที่กังวลคือ ลูกเป็นเด็กคล่อง เร็ว แก่นไม่เรียบร้อย ขี้เล่นติดตลก พูดจาตรง ค่อนข้างพูดเร็วบางทีไม่คิดให้ถี่ถ้วน.  เดี๋ยวเกิดคำพูดคำจาไม่เข้าหูเพื่อน เพื่อนจะเข้าใจผิดได้ ดิฉันจึงย้ำเรื่องการออกความคิดเห็นการพูดจาต้องระมัดระวังมากๆ  โชคดีที่ลูกเป็นคนปรับตัวเก่ง เข้ากับคนอื่นง่ายร่าเริงแจ่มใสและมีความคิดเห็นมีความกล้าแสดงออก. จึงมีเพื่อนมากมาย บางครั้งก็มีพี่โต ๆชั้นอื่นมาทัก ดิฉันเลยถามว่ารู้จักได้อย่างไร ลูกบอกว่า พี่เค้าเห็นหนูพูดเก่งเลยเข้ามาคุยด้วยเลยรู้จักกัน.        โอ้โหรู้จักข้ามชั้นเลยหรือเนี่ย.       เพื่อนของลูกมีหลายแบบมากๆ มีทั้งที่ครอบครัวฐานะดีมากเป็นเจ้าของโรงงาน บริษัท มีธุรกิจระหว่างต่างประเทศ เป็นทหาร เป็นพยาบาลเป็นคุณหมอ สารพัดอาชีพที่ตำแหน่งหน้าที่การงานดีๆ บางครอบครัวก็เป็นระดับคุณแม่เป็นคุณหญิงหรือนามสกุล ประเภท. ณ.  ....(. จังหวัด). แต่บางครอบครัวก็มีฐานะปานกลางอย่างดิฉันไม่ได้มีอะไรเลิศเลอเป็นพิเศษ บางครอบครัวก็เป็นพนักงานบริษัทธรรมดา  แต่เราก็สามารถคบพูดคุยกันได้หมด แรกๆดิฉันเองก็คิดว่าผู้ปกครองที่เค้ามีฐานะดีๆ.    เค้าก็คงจะมีความรู้สึกแบ่งแยก แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย. ช่วงแรกดิฉันเองแทบจะไม่รู้จักผู้ปกครองด้วยกันเลย เพราะทุกคนมารับลูกแล้วก็ต่างรีบกลับบ้านเนื่องจากแต่ละคนอยู่กันไกลๆทั้งนั้นและถ้าออกช้ากว่า5 โมงเย็น รถตรงหน้าร.ร.จะติดมาก              เนื่องจากทุกบริษัทจะมีรถรับส่งพนักงานพากันขับผ่านมาทางออกของนิคมซึ่งต้องผ่านโรงเรียนด้วย.  ดิฉันได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนผู้ปกครองแบบจริงๆจังๆก็เมื่อผ่านไปได้ประมาณ 2.  เดืือนแล้วและช่วงที่โรงเรียนมีกิจกรรมศิษย์-ลูก ทำให้ได้รู้จักเพื่อนผู้ปกครองมากขึ้น วันที่ไปพบกับเพื่อนผู้ปกครองด้วยกันพอได้คุยแล้วรู้ว่าเป็นคุณแม่ของเอมิจัง          ผู้ปกครองส่วนใหญ่รู้จักลูกเราหมดเลย เอ ไหง... รู้จักกันหมดเลย เลยมารู้ทีหลังว่าที่รู้จักเพราะเอมิไปโรงเรียนเป็นคนแรกของห้องป.1/3 ไม่ว่าผู้ปกครองของเพื่อนคนไหนมาส่งมาเพื่อนๆของเอมิ. เอมิก็จะมีโอกาสทำความรู้จักพูดคุย หรือบางครั้งก็มีผปค.บางคนทั้งแหย่และหยอกเล่นเป็นที่สนุกสนานเพราะลูกร่าเริงแจ่มใส ชอบคุย และในทุกๆเช้า ไม่ว่าจะวันไหนก็ตามเพื่อนไม่เคยมาก่อนเอมิจังเลย.  ขนาดมีการทำบอร์ดติดบนกระดานในห้องว่าใครเด่นด้านใด.  เอมิก็ยังได้รับโหวตจากเพื่อนๆในห้องว่า.  มาโรงเรียนไม่สายและมาเช้าที่สุดของห้องอีกด้วยเป็นอันดับหนึ่งเลย. ซึ่งคำถามที่เพื่อนผู้ปกครองทักตอนเจอคือ ลูกคุยเก่งจริงๆกล้าไม่กลัว ทำไมมาเช้าจังบ้านอยู่ที่ไหนเนี่ย และอีกหลายคำถามตามมาว่าอายุเท่าไหร่(เพราะเห็นตัวเล็กเปี๊ยกเลยทำไมคล่องจัง).   เรียนมาจากที่ไหน จบอนุบาลไหน (เพราะส่วนใหญ่ เค้าจะจบอ. 3กันมาก่อนแล้ว แถมบางคนตัวโต อายุก็มากกว่าเกือบครบปีเลย ไม่น่าเชื่อว่าตัวแค่เนี่ยจะเป็นหัวหน้าห้อง แถมเห็นอุ้มกระเป๋าล้อลาก(กระเป๋านักเรียน) ขึ้นลงบันไดแบบว่องไวเลย จะทำอะไรก็ออกจะปรู้ดปร้าด ดิฉันเลยอยากจะบอกว่า ส่วนหนึ่งขอยกความดีความชอบให้กับการเรียนการสอนจากร.ร.เจริญพงศ์ แบบอีพี     ที่เอมิจังได้ผ่านมา ลักษณะการเรียนการสอนร่วมกับการส่งเสริมสนับสนุนสิ่งที่ลูกชอบและอยากเรียนรู้ สร้างให้เค้าเป็นเด็กที่คล่องแคล้วกล้าคิด กล้าพูดกล้าแสดงออก(. ลูกเรียนกับคุณครูต่างประเทศทำให้กล้าคุยกับคนแปลกหน้าไม่กลัว. ชอบทำกิจกรรมทุกอย่างที่โรงเรียนจัด เช่น. คัดเลือกเป็นตัวแทนไปแข่งกีฬา แสดงบนเวที ยิ่งถ้าได้ยืนข้างหน้า เห็นชัด ๆจะชอบมาก  ถ้ามีการแข่งขันใดๆในห้องก็เต็มที่ประเภทจริงจังสู้ ๆ ตลอด. ดิฉันว่าเค้ามีทัศนคติที่ดีมาก ๆกับคุณครูที่นั่น ทำให้เค้ารักการเรียนมากๆ และเป็นพื้นฐานที่เข้มแข็งที่ทำให้เค้าไม่กลัวกับปัญหาหรือการเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกใหม่ตลอดเวลา. ).  
           การที่ลูกมีช่วงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างจากเพืื่อนๆตอนอยู่ อนุบาล 2 ทำให้ดิฉันอดจะชื่นชมในความเติบโตทางสังคมของเค้ามากขึ้นไม่ได้เลยทีเดียว. ถ้าจะว่าไปเค้าต้องปรับตัวอย่างมากหลายๆเรื่องดิฉันมองว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะสำหรับเด็กตัวเล็ก อายุ 5ขวบครึ่งที่จะต้องมาทำตัวเหมือนเด็กโตที่เค้าพร้อมสำหรับการอยู่ป.1แล้ว.จากเดิมที่เรียนโรงเรียนใกล้บ้านนอนตื่นสายๆได้(8.00น.  ค่อยตื่นก็ทัน)เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้านมากๆเลยก็ ต้องมาตื่นนอนตอน5.40น.อาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน.  แล้วกว่าจะได้กินข้าว กว่่าจะกลับถึงบ้าน. กินข้าวทำการบ้าน. อ่านนิทาน เข้านอน (เอมิจังต้องฟังนิทานทุกวันไม่งั้นไม่ยอมนอนจะงอนมากเลยถ้าไม่ได้เล่าให้ฟัง). คุณพ่อคุณแม่เชื่อไหมค่ะว่าตลอดช่วงหนึ่งสัปดาห์แรกที่ดิฉันไปส่งที่โรงเรียนแล้วก็รอรับกลับ โดยให้กินข้าวเย็น ทำการบ้าน. วิ่งเล่น เล่นที่สนามกับเพื่อนที่โรงเรียนระหว่างรอคุณพ่อขับรถมารับกลับตอน 18.30 น.   เอมิหลับตั้งแต่ได้ขึ้นรถจนกระทั่งถึงบ้านก็ไม่ตื่น ลูกหลับพร้อมชุดนักเรียนที่ใส่มา แล้วก็มาตื่นตอนเช้าอีกที ติี 5 ครึ่ง พร้อมกับอาบน้ำแล้วก็เปลี่ยนชุดนักเรียนใหม่. (เป็นไปได้ไงค่ะ ใช่ไหมค่ะ )ที่เรียกว่าเรียนเล่นกันจนสุดๆสลบกลับมาบ้านเลย ดิฉันก็เพิ่งจะเห็นจากลูกนี่ล่ะค่ะ. แต่หลังจากเข้าสัปดาห์ที่ 2. ดิฉันเริ่มจะไปดูลูกบ้างเป็นบางวัน วันไหนถ้าไปดูลูก การบ้านก็จะเสร็จเรียบร้อยมาจากโรงเรียน แต่ถ้าวันไหนให้ลองรับผิดชอบทำการบ้านเอง ลูกบอกว่าทำไม่ได้เพราะอ่านโจทย์ไม่ค่อยเข้าใจ(ช่วงเพิ่งเปิดเทอม ความรู้ก็ยังแค่อุบาล 2อยู่เล้ย).  ดิฉันจึงต้องคอยตามประกบสอนการบ้านลูกตลอดช่วงระยะเดือนกว่าๆ. จากนั้นดิฉันก็เริ่มบอกให้รู้จักทำการบ้านให้เสร็จก่อนที่จะไปเล่นหรือทำอย่างอื่นก่อนกลับบ้าน ทำให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ด้วยตัวเองไปก่อนถ้าไม่เข้าใจจริงๆให้เว้นไว้แล้วค่อยมาทำต่อที่บ้าน (ช่วงนี้ดิฉันได้รับความเอื้อเฟื้อจากเพื่อนผปค.ที่รู้จักฝากกลับมาแล้วดิฉันไปรับต่ออีกทีกลางทาง). ไม่น่าเชื่อว่าลูกจะแสดงให้เห็นว่า เค้ามีความรับผิดชอบมากแค่ไหน ดิฉันแอบไปยืนซุ่มดูลูกว่า ลูกทำอะไร อย่างไรบ้างช่วงที่เค้าต้องรอกลับกับเพื่อนก็เห็นว่าเค้าหยิบการบ้านมาทำแทนที่จะไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆที่วิ่งมาชวน. โอ้โหเอมิลูกแม่เก่งจัง โตแล้วจริงๆด้วย  
   เฮ้อ. แต่อะไรมันก็ไม่แน่นอน. เพื่อนผปค.ที่เคยฝากกลับด้วย เริ่มยุ่งรับส่งไม่สะดวก.   เอมิก็เลยต้องขึ้นรถตู้รับส่ง. มารับที่บ้านตอน5.45น.   แล้วก็กลับถึงบ้านประมาณ ทุ่มครึ่งเป็นอย่างงี้่ประมาณสามเดือน. โอ้ว.   ลูกสาวตอนนี้จากดอกมะลิบานเช้า.  กลายเป็นดอกมะลิเหี่ยวช้ำ น่าสงสารมากๆ มันทรมานใจจังโรงเรียนดีแต่อยู่ไกล ถามลูกว่าเอาไหงดี ไหวไหม อยากย้ายโรงเรียนใหม่ไหม ลูกบอกคำเดียวว่าไหว อย่าย้ายโรงเรียน จะเรียนที่นี่ ไม่ย้ายเด็ดขาด. เพราะที่นี่สนุกมาก. ไม่มีวันไหนที่จะไม่อยากไปโรงเรียน. แต่ตอนนี้ที่ไม่ชอบคือตื่นแต่เช้าจริง แต่รถตู้มาส่งที่โรงเรียนช้า ไม่สาย แต่ไม่ชอบอยากมาเช้ากว่านี้.    จะบอกว่าบังเอิญก็ไม่ผิด ช่างเป็นโชคดีของลูกที่เผอิญมีอาจารย์แนะนำให้รู้จักกับเพื่อนผู้ปกครองที่่อาจารย์เคยสัมภาษณ์ตอนคัดเลือกเข้ามาเรียนที่นี่ว่า.   มีอยู่ครอบครัวหนึ่งเคยไปอยู่ที่ญี่ปุ่น โครงการเดียวกันกับที่ดิฉันและสามีของดิฉันเคยไปมาเมื่อหลายปีก่อนเลยได้รู้จักกับคุณปุ๊ก สามีทำงานอยู่บริษัทเดียวกับสามีีดิฉันแต่คนละโรงงาน          เลยได้รู้ว่าบ้านอยู่ใกล้กันห่างกันไม่กี่กิโลเมตรเลย.   แถมน้องปุ๊กยังแนะนำให้ได้รู้จักกับคุณโอ๋(คุณแม่ของน้องอุ้ม).  โชคดีมากที่บ้านคุณโอ๋ก็ห่างจากบ้านของดิฉันไม่ไกลมากเหมือนกัน.    เรียกได้ว่าอยู่ละแวกเดียวกัน ดิฉันก็เล่าให้ฟังว่าอาจจะต้องคิดใหม่เรื่องย้ายโรงเรียนเพราะคุณพ่อสะดวกไปส่งแต่ไม่สะดวกรับกลับเพราะบางทีมีประชุมเลิกดึก ส่วนถ้าจะให้จ่ายค่ารถเฉพาะค่ารถขากลับอย่างเดียวก็ไม่คุ้มเลยเพราะเค้าคิดเกือบเต็มราคาอยู่แล้ว. แถมลูกกลับดึกทุ่มกว่าทุกวันเลย หลับคอตกมาในรถเลย. การเรียนก็เริ่มต่ำด้วย จากเดิมทำได้เต็ม ตอนนี้ชักจะไม่รอบคอบซะแล้ว กลัวว่าลูกจะไม่ไหวหรือเปล่าน้า...  ดิฉันกลุ้มใจมากกับการหาโรงเรียนใหม่อยู่เกือบสัปดาห์ก่อนที่จะได้มาเจอคุณโอ๋.  คุณรู้ไหมค่ะ ความทุกข์ ความวิตกกังวล ความสับสนในเส้นทางเดินด้านการศึกษาของลูก ที่มันย้อนกลับมาทำให้ดิฉันต้องหาทางวางแผนใหม่.  ความเสียดายถ้าลูกจะไม่ได้เรียนที่นี่ต่อ มันมลายหายสิ้นไปด้วยคำพูดที่เอื้อเฟื้อของคุณโอ๋ว่า. เดี๋ยวโอ๋รับเอมิจังกลับให้เลยดีกว่า.   เค้าจะได้ไม่่เหนื่อยจนเกินไป. ดิฉันมองว่าคุณโอ๋เปรียบได้กับผู้ช่วยเหลือ ผู้มีอุปการะคุณ.  ผู้ที่มีน้ำใจให้กับเพื่อนใหม่(ในขณะนั้น). เพราะเพิ่งได้คุยกันแป๊บ ๆ ไม่กี่ครั้งเอง แถมคุณโอ๋ยังไม่ยอมรับเงินค่าน้ำมันรถด้วย. ไม่ว่าดิฉันจะให้ยังไงก็ปฎิเสธไม่เอาตลอด. คุณโอ๋เป็นธุระรับลูกกลับบ้านพร้อมน้องอุ้ม ลูกสาวคนโต วันไหนที่ดิฉันไปรับช้าก็เลี้ยงข้าว ดูแลให้ทำการบ้าน เวลาเอมิไม่สบายก็เอาใจใส่รีบบอก. ช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี  ดิฉันเห็นความแตกต่างระหว่างการนั่งรถตู้กลับบ้าน กับการกลับบ้านพร้อมคุณโอ๋ มันช่างแตกต่างกันมากจริงๆ คะแนนสอบหน่วยที่เคยได้ต่ำๆกลับมาคะแนนพุ่งขึ้นทุกวิชา ลูกก็ร่าเริงขึ้นมากทีเดียว เพราะตอนเช้าคุณพ่อไปส่งก็ถึงโรงเรียนเช้าเหมือนเดิม แถมตอนกลับก็เร็วขึ้นบางทีถึงบ้านก่อน5โมงเย็นแล้วยังไงก็ไม่เกิน 6 โมงเย็นด้วย(ในวันที่ลูกทำเวรหรืออยู่เล่นที่สนามเด็กเล่นที่โรงเรียนตอนเย็น).ในทุกๆครั้งที่ผลการเรียนออกมาดิฉันก็จะบอกให้เอมิจังได้รู้ว่า. น้าโอ๋เป็นคุณน้าที่น่ารักมีน้ำใจ เห็นใจครอบครัวของเราและเอมิมาก. การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามลำบากอย่างนี้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ถือว่าเป็นมิตรแท้ที่หายาก.  บางคนอาจจะคิดว่าก็แค่นั่งรถกลับมาด้วยกันเท่านั้นเองไม่เห็นจะมีอะไร.   แต่อยากให้คุณผู้ปกครองลองนึกภาพที่โรงเรียนเด็กๆป.1 ตัวเล็กๆเดินลากกระเป๋าแบบล้อลากเดินออกจากโรงเรียนไปลานจอดรถ บางวันฝนตก ดินเฉอะแฉะ. บางวันแดดร้อนจัด กระเป๋าก็หนัก ลานจอดรถก็เป็นกรวดโรยแบบหยาบๆ ลากกระเป๋าข้ามลำบาก มีครั้งหนึ่งโรงเรียนเคยมีน้ำท่วม ต้องเดินลุยน้ำพาลูกกลับบ้าน. วันไหนไม่สามารถรับกลับบ้านได้ก็รีบโทรมาบอก. ไม่เคยละเลยก็คุณโอ๋ คนนี้แหละที่คอยพ่วงลูกสาวของดิฉันไปไหนต่อไหนด้วยตลอด แถมเลี้ยงข้าวเย็นอยู่หลายมื้อ ดิฉันจึงยังนึกขอบคุณและอดชื่นชมในความมีน้ำใจและความช่วยเหลือที่มีให้อยู่เรื่อยมาแถมยังต้องขอบคุณไปถึงยังครอบครัวของคุณโอ๋ที่เห็นใจในภาระความลำบากของเอมิจังและครอบครัวเรา   ไม่นึกว่าวิกฤตที่ลูกเกือบจะต้องย้ายโรงเรียนกลายมาเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้ได้รู้ซึ้งถึงคำว่าเพื่อนแท้ มิตรแท้ยังมีอยู่จริง สำหรับคนที่กลัวการขับรถยนต์อย่างดิฉัน(ถึงแม้นว่าจะมีใบขับขี่รถยนต์ตลอดชีพก็เถอะ)มันมีความหมายมากมายเลยจริงๆนะคะ ถ้าใครที่ขับรถไม่คล่องคงจะเข้าใจดี.   นี่เป็นตัวอย่างที่ดิฉันได้เจอกับตัวเองว่าผปค.ก็ต้องมีเพื่อนค่ะไม่ว่าจะช่วยกันเรื่องรับส่งลูก. การทำการบ้าน. ใบงาน การติวหาข้อสอบมาลองทำดู การแชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูก มันมีความจำเป็นและสำคัญมากๆจริงๆ
               ดิฉันว่าความเอื้อเฟื้อที่ดิฉันกับลูกได้รับ ไม่เพียงเฉพาะได้จากเพื่อนผปค.ที่รู้จักกันเท่านั้น เหตุการณ์ที่ ดิฉันยังประทับใจไม่หายคือเมื่อตอนป.1ช่วงหน้าฝน มีอยู่วันหนึ่งรู้สึกจะเป็นวันศุกร์ ดิฉันพายูริ(ประมาณ3ขวบ) ไปรับเอมิที่โรงเรียน. เกิดฝนตกหนักมาก เรามีแค่เสื้อกันฝนสำหรับเอมิที่ีใส่ติดกระเป๋ามาโรงเรียนอยู่ทุกวันเอามาใส่ให้เอมิกับยูริเดินออกไปหน้าโรงเรียนเพื่อรอขึ้นรถของคุณพ่อ. ดิฉันเองก็เปียกฝนอยู่บ้างเหมือนกัน. ระหว่างยืนรอรถที่คุณพ่อกำลังติดทางเลี้ยวอยู่ด้านหน้าโรงเรียน. ก็มีผปค.เป็นผู้หญิงยื่นร่มที่กางไว้อยู่ก่อนแล้ว บอกให้ดิฉันรับร่มไป ดิฉันเองก็เกรงใจเพราะผปคก็จะต้องเปียกด้วยซิถ้าให้ดิฉันยืมร่ม แล้วก็บอกตามตรงว่าไม่ได้รู้จักอะไรกันมาก่อนเลย เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ผปค.รีบส่งร่มให้แล้ววิ่งไปลานจอดรถอย่างเร็วเลย ดิฉันคิดว่าเค้าคงจะสงสารแม่ลูกสามคนมายืนรอเปียกกันอย่างงี้แน่ๆเลย. แต่คุณลองคิดดูซิค่ะว่าเค้ายอมเปียกยื่นความช่วยเหลือให้เราทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ คุณคิดว่าคุณจะเจอน้ำใจจากคนที่เราไม่รู้จักมาก่อนแบบนี้ได้จากที่ไหน.    
             นึกถึงเหตุการณ์ตลอดช่วงเวลาที่เอมิได้เรียนที่นี่มา 2 ปีได้เจอประสบการณ์ที่ดีๆมากมายเป็นความประทับใจของมิตรภาพมากมาย.   ถ้าเรารู้จักเปิดใจแบ่งปันรู้จักการรับและการให้ สังคมที่นี่ถึงได้มีแต่ความสุข หรือถึงจะมีเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาแต่ถ้าเปิดใจให้กว้างก็จะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆได้มากมายอย่างคาดไม่ถึง คุณผู้ปกครองล่ะค่ะอย่าลืมทำความรู้จักกันไว้เยอะๆนะคะ เป็นมิตรกันไว้เยอะๆเพราะบ้านหลังที่สองของลูกเรานี้เรายังอยู่อีกนาน นานมากนะคะ ดีต่อกันในทุกๆวันลูกๆคงจะมีความสุขทั้งบ้านหลังแรกและหลังที่สองค่ะ. รักเพื่อนผู้ปกครองทุกๆคนค่ะ
โหวตให้คะแนนบทความนี้
คำค้นหา: ไม่ระบุคำค้นหา
amijung (657 คะแนนที่ได้รับ)
amijung ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
เหรียญรางวัล:

ความคิดเห็น

kruna314
kruna314
kruna314 ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
kruna314 พุธ, 09 พฤษภาคม 2012

ในสังคมไทยเรายังมีคนดี ๆ อีกเยอะนะคะ...ความเป็นแม่ของลูก ๆ ทำให้ผู้หญิงเราได้เห็นใจกัน...ขอชื่นชมกับคุณโอ่ และผู้ปกครองที่มีน้ำใจทุกท่านคะ

แม่น้องกานต์
แม่น้องกานต์
แม่น้องกานต์ ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
แม่น้องกานต์ พฤหัสบดี, 10 พฤษภาคม 2012

การรับเด็กหลายคนกลับพร้อมกันนี่ขอบอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเด็กแต่ละห้องก็มีภารกิจและกิจกรรมที่ชอบต่างกันไป
ไหนจะทำเวร ไปรดน้ำต้นไม้ ไปคืนหนังสือ แข่งกีฬา ไปสอบคัดเลือกต่างๆ ไปทำจิตอาสา โอยสารพัดจะมีเรื่อง
นับว่าคุณโอ๋ใจดีจริงๆและเอ็นดูเอมิจังมากๆเลยนะเนี่ย

..รอดไปนะเอมิจัง :D รักโรงเรียนขนาดนี้ถ้าการเดินทางเป็นอุปสรรคให้ต้องย้ายรร.คงเศร้ามากมาย..

แต่จะว่าไปการนี้ก็มีข้อดีอีกหลายอย่าง เช่น การฝึกให้เด็กทั้ง 2 ครอบครัว มีน้ำใจต่อผู้อื่น, ฝึกความอดทนเพราะต้องอดทนรอคอยกลับพร้อมกัน, ฝึกความรับผิดชอบและการตรงต่อเวลา เพื่อไม่เป็นภาระของผู้อื่น

amijung
amijung
amijung ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
amijung พฤหัสบดี, 10 พฤษภาคม 2012

ใช่เลยค่ะ พี่อ้อย เฮี้ยงก็ได้สอนเรื่องการมีน้ำใจและการตอบแทนน้ำใจ การช่วยเหลือแบ่งปันตอบแทนเท่าที่เราจะทำได้เหมือนกันค่ะ แต่ก่อนลูกไม่เข้าใจว่า เวลาให้ไปรับเอมิมาจากบ้านคุณโอ๋ จะต้องมีของฝาก สารพัด บางทีของกิน ข้อสอบ หรือของฝากเวลาคุณพ่อกลับจากต่างประเทศ ทุกครั้ง ต้องมีไปฝาก อยู่เสมอ เฮี้ยงเลยได้สอนให้เห็นเป็นรูปธรรมเลยว่าเนี่ยแหละคือการตอบแทนน้ำใจซึ่งมีค่าน้อยมากนะ ถ้าจะเปรียบกับน้ำใจที่มากมายจากน้าโอ๋ที่ช่วยดูแลและเป็นธุระให้ตลอดช่วงการเรียนที่ผ่านมา เค้าถึงได้เข้าใจว่าเนี่ยแหละน้ำใจและการพึ่งพากัน ที่เราต้องเรียนรู้ไว้ เดี๋ยวถ้าปีหน้ายูริตามไปเรียนที่สาธิตด้วยก็คงจะย้ายไปอยู่คอนโดใกล้ ๆโรงเรียนแล้วล่ะค่ะ คราวนี้คงจะมีโอกาสได้ดูแลน้องอุ้มลูกสาวของคุณโอ๋บ้างค่ะ

กรุณา เข้าระบบ หากต้องการแสดงความคิดเห็นของคุณ