เมื่อวันที่11-13 พ.ค.56 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสส่งเอมิจังกับนัตซึไปเข้าค่ายเด็กครั้งที่13 ของคณะทันตแพทย์. มหาวิทยาลัยมหิดล. นับว่าเป็นครั้งแรกของนัตซึที่จะต้องไปค้างคืนเพียงลำพังโดยที่ไม่มีคุณแม่มาคอยนอนกอด คิดว่านัตซึจะยอมไปไหมนะ. แต่พอพี่เอมิบอกว่าอยากไปเข้าค่าย นัตซึ ก็นึกอยากจะไปด้วยบ้าง. ส่วนเอมินั้นเคยได้ไปเข้าค่ายวิทย์-คณิตย์ที่ทางโรงเรียนสาธิตเกษตร พหุภาษา จัดให้ไปค้างคืนที่สวนนงนุช พัทยามาแล้วเลยพอมีประสบการณ์ว่าสนุกสนานแค่ไหน การพักค้างคืนข้างนอกบ้านจึงเป็นเรื่องสบายมากสำหรับเอมิจัง. และ งานนี้ก็เลยเป็นการเข้าค่ายที่แสนสนุกสุขหรรษาด้วยความยินยอมพร้อมใจของสองสาวน้อย. การสมัครไปค่ายครั้งนี้สืบเนื่องจาก ลูกน้องของคุณพ่อนั้นเคยเป็นเด็กกิจกรรมอยู่ที่มหิดล และเคยพาเด็กๆไปออกค่ายมาแล้ว พอดีว่าเริ่มมาคุ้นเคยกับเอมิและนัตซึช่วงที่ได้ไปเที่ยวปีใหม่ที่ผ่านมาเลยได้โอกาสชวนให้มาลองเข้าค่ายเด็กกันดู. ค่าสมัครไม่แพงมาก 1,300บาทต่อคนรวมทุกอย่างแล้ว. ทั้งค่าอาหารค่าเดินทางและที่พักรวมถึงกิจกรรมต่างๆที่เหล่าบรรดาพี่ๆที่ดูแลค่ายจะสรรหามา
เมื่อสองวันก่อนที่จะออกเดินทางได้รับข้อมูลทางเมล์เรื่องการเตรียมตัวสำหรับการเข้าค่าย สิ่งที่แจ้งมาให้เตรียมตัวคือ. . ขอให้น้องๆเตรียมตัวเตรียมใจรับกับความสนุกและความสุขความอบอุ่นที่พี่ๆในค่ายจะมอบให้. เตรียมความร่าเริง แจ่มใส และพร้อมรับมิตรภาพใหม่ๆจากเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่าที่เคยเจอกันมาแล้ว. อย่างอื่นก็คือรายละเอียดของใช้ส่วนตัวซึ่งก็เป็นเรื่องพื้นๆทั่วๆไป. นอกนั้นไม่มีหมายกำหนดการใดๆให้ได้รู้ก่อนล่วงหน้าเลยว่า. เด็กๆหรือลูกของเราจะเจอะเจอกับอะไรบ้าง. อะไรมันจะลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น
กลางคืนก่อนวันออกเดินทาง. สองสาวยังคงลันล้ามีความสุขกับการเล่น อ่านหนังสือ ดูการ์ตูน. ไม่ได้มีความรู้สึกตื่นเต้นอะไรมาก. เอมิถามแค่ว่าเตรียมของอะไรบ้าง ต้องเตรียมอะไรเพิ่มไหม ของครบหรือยัง. ส่วนนัตซึนั้นไม่ถามถึงเล้ย ให้คุณแม่จัดการเตรียมไปเลย. ดูชิวๆมากเลย.ทั้งเอมิกับนัตซึเอง กว่าจะเข้านอนก็ดึกมากแล้ว นอนหลับเป็นตายกันทั้งคู่เลย ส่วนคุณแม่ก็เช็คของจัดกระเป๋าเข้าๆออกๆกันอยู่หลายรอบเพราะคิดว่าถ้าเป็นกระเป๋าเดินทางแบบล้อลากเดี๋ยวลูกขึ้นลงรถจะลำบากเพราะเค้าบอกมาว่าเด็กต้องช่วยตัวเองได้หมด. เลยจัดใส่เป้สะพายหลังให้ทั้งสองคนก็ปรากฎว่าหนักไปหน่อย รื้อข้าวของเข้าๆออกๆจนแน่ใจก็ปาไปเกือบตี2 กว่าตัวดิฉันเองจะโอเค คิดว่าลูกสาวที่ตัวเล็กผอมบางทั้งสองคนจะแบกเป้สะพายไหว เอ้าล่ะ.. มันก็ต้องลองดูล่ะนะ
ตอนเช้าของวันที่ต้องเดินทาง พอบอกว่าต้องไปเข้าค่ายแล้ว ทั้งสองคนรวมถึงคุณพ่อที่ต้องไปสอนพิเศษที่มหาวิทยาลัยก็รีบอาบน้ำแต่งตัวไปส่งที่คณะทันตแพทย์ มหิดลที่อยู่แถวใกล้ๆอนุสาวรีย์ชัย นัดเจอกัน 8.00 น. พอไปถึงมีเหล่าบรรดาพี่ๆนักศึกษาที่มาช่วยดูแลน้องๆ กับผู้ปกครองเต็มไปหมดเลย. ลงทะเบียน กรอกข้อมูลเสร็จก็ชำระเงินและเข้าฟังการเปิดค่ายจาก อาจารย์ที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของค่ายเด็กในครั้งนี้. มีการบอกถึงวัตถุประสงค์ของการจัดค่าย และให้เด็กๆทั้ง 20 คนยืนพูดแนะนำตัวเอง. และให้พี่เลี้ยงแต่ละคนแนะนำตัวเองว่าเป็นใคร มาจากที่ไหน เรียนอะไรอยู่ เลยได้ทราบว่า เด็กๆที่มาเข้าค่ายครั้งนี้มีช่วงอายุที่ต่างกันพอสมควร คือมีตั้งแต่ระดับชั้นป.1-ม.1 เลย ของนัตซึนั้นดูท่าว่าจะอายุน้อยสุดของเด็กที่มาเข้าค่ายครั้งนี้ก็เพิ่ง 6 ขวบเอง แต่ว่าไม่เป็นปัญหาเพราะว่าช่วยเหลือตัวเองได้ อาบน้ำแต่งตัวกินข้าวเองได้สบายมาก. ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็บอกว่าเพิ่งพาลูกๆมาเข้าค่ายที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันแล้วก็ไม่รู้ว่าเด็กๆต้องทำอะไรบ้าง. สิ่งที่เตรียมมาคือ เตรียมตัวกับเตรียมใจเหมือนกันเลย
ส่วนพี่ๆที่ต่างมาแนะนำให้รู้จักกันก็มาจากหลากหลายคณะ แต่เป็นนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่หรือจบแล้วจากม.มหิดลทั้งหมด พี่ๆส่วนใหญ่มาจากคณะทันตะ. คณะแพทยศาสตร์ คณะสาธารณสุข คณะวิศวะ วิทยาลัยดุริยางค์. และอื่นๆอีกมากมาย. แต่มารวมตัวช่วยกันดูแลน้องๆที่มาเข้าค่ายในครั้งนี้
พี่นักศึกษาที่เป็นบัดดี้กับนัตซึและเอมิ ชื่อพี่แอลกำลัง เรียนทันตะ ปี4 อยู่ น่ารักมากๆเรียบร้อยดูเป็นกันเองและคอยเล่นกับเด็กด้วย. พอพิธีเปิดค่ายเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่เด็กๆจะได้ร่วมกิจกรรมกับพี่ๆแล้ว. ก่อนที่ผู้ปกครองจะกลับพี่ๆให้เด็กๆมาสวัสดีพร้อมกับกอดคุณพ่อคุณแม่ให้เรียบร้อยก่อน. คุณแม่เลยถามพี่ๆว่าน้องต้องไปเจอกับอะไรบ้าง เลยได้รู้ว่าหลังป้ายชื่อที่น้องๆแต่ละคนห้อยอยู่ที่คอนั้นมีโปรแกรมการเข้าค่ายทั้ง3วันสรุปเป็นตารางเอาไว้อยู่ ซึ่งมันเล็กมาก คุณแม่มองไม่เห็นตัวหนังสืออ่านไม่ออกเลย(ลืมเอาแว่นสายตายาวไปด้วย).ส่วนพี่ๆก็บอกว่าให้ถามจากน้องๆเองก็ได้หลังจากไปออกค่ายกลับมา ก็เลยบอกสองสาวว่าไปเข้าค่ายให้สนุกและมีความสุขกับประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิตนะลูก. ว่าแล้วก็จุ๊บร่ำลากันเดินออกจากห้องหันกลับไปมองสองสาว ปรากฎว่า ไม่ได้สนใจคุณแม่เลย. หันไปฟังพี่ๆคุยกัน ไม่ได้มองมาที่ดิฉันเล้ย..
ผ่านไปคืนวันที่สองของการเข้าค่าย ได้รับโทรศัพท์จากพี่แอล พี่แอลบอกว่านัตซึคิดถึงคุณแม่เลยโทรมาให้ได้คุยกันแป๊บเดียวแล้วก็ต้องวางสายเพราะว่าจะไปสวดมนต์เข้านอนกันแล้ว. รู้จากนัตซึกับเอมิว่า พี่ๆใจดี ที่นี่สนุกดี น้ำเสียงร่าเริงแจ่มใสดี. รู้แค่นั้นเองอ่ะ. คุณแม่ก็เลยนัดสองสาวว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้บ่ายสามโมงเดี๋ยวไปรับที่คณะทันตะนะจ๊ะ
เข้าสู่วันที่3 ของการเข้าค่าย. เตรียมไปรับนัตซึกับเอมิตามที่ได้นัดกันไว้. ไปถึงบ่ายสามโมงกว่า. ผู้ปกครองบางท่านทยอยรับลูกๆกลับลงมาจากตึกของคณะแล้ว. เข้าไปในสโมสรนักศึกษาที่นัดเจอกับพี่ๆ. เห็นนัตซึกับเอมิยังเล่นร่วมอยู่ในวงล้อมกลุ่มของพี่ๆนักศึกษาอยู่เลย. เด็กๆกับพี่ๆมีการเขียนเฟรนชิปแลกเบอร์โทรศัพท์กันด้วย. นัตซึโชว์สมุดเฟรนชิปทำมือที่ทำด้วยตัวเองให้ดูหน้าปกเป็นรูปภาพพิมพ์สีรูปใบไม้ขนาดต่างๆ. พี่เลี้ยงหลายคนเข้ามาคุยกับคุณแม่พร้อมกับบอกว่าเอมิกับนัตซึน่ารักมาก. อารมณ์ดี ร่าเริงสนุกสนาน ช่างพูดคุย ให้ความร่วมมือทำกิจกรรมต่างๆดีมาก ช่วยเหลือและดูแลตนเองได้ดี. โดยเฉพาะน้องนัตซึจะเป็นที่ชื่นชอบมากเพราะว่าน่ารักขี้อ้อนพี่ๆมากๆเลยค่ะ. เลยบอกว่าลูกคนเล็กช่างคุยช่างอ้อนมากค่ะ. โชคดีไปค่ายครั้งนี้มีพี่เอมิไปด้วย เลยไม่มีงอแงร้องไห้ค่อยยังชั่วค่ะ. เดี๋ยวปีหน้าจะพามาเข้าค่ายอีก ลูกบอกว่าสนุกดีพอคุณพ่อมารับด้วยกัน สองสาวต่างแย่งกันคุยเรื่องตัวเองตอนที่ไปเข้าค่าย. อยากฟังไหมค่ะว่าสองสาวกลับมาถ่ายทอดประสบการณ์การไปเข้าค่ายว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เอมิกับนัตซึเล่าให้ฟังว่า วันแรกจากตอนที่ีอยู่ในคณะทันตแพทย์ มหิดล. พี่ๆพานั่งรถเมล์ไปลงเรือข้ามฟาก ไป ร.พ.ศิริราช. นัตซึบอกว่าหนูได้ไปหาในหลวงด้วยแต่ไม่ได้พบหรอกนะค่ะ ดิฉันเลยอดขำไม่ได้ว่า ใครเค้าจะพาไปพบในหลวงล่ะจ๊ะ คิดว่าพี่ๆคงจะพาทัวร์ที่คณะทันตะ แล้วไปทัวร์ต่อที่ รพ.ศิริราช. ละมั้ง. จากนั้นก็เล่าต่อว่า พี่ๆ. พานั่งรถไฟจริงๆไปที่ศาลายา(นึกในใจว่า รถไฟมันก็ต้องเป็นรถไฟจริงๆนะสิลูก)สองสาวตื่นเต้นมากเพราะเกิดมายังไม่เคยนั่งรถไฟไปไหนเลยเพิ่งเป็นครั้งแรกที่เดินทางด้วยรถไฟ. จากนั้นก็ลงเดินจากสถานีไปยังที่มหิดล ศาลายา. (โอ้!คุณแม่ไม่แปลกใจแล้วล่ะค่ะว่าทำไมหน้าของสองสาวจึงได้คล้ำดำหมองซะขนาดนี้ขนาดมีหมวก มีครีมกันแดดใส่กระเป๋าไปแล้ว. สงสัยว่าจะไม่เวิร์คแฮะ). จากนั้นก็ทำกิจกรรมเยอะมากเลยแต่เรียงไม่ถูกว่าวันไหนทำอะไรบ้างแต่ที่่จำได้มีทำกิจกรรมเกือบทุกประเภทเลยอย่างเช่น
@. ทำขนมลูกชุบกินกันเอง แสนอร่อย ขนาดกลับมาถึงบ้านยังอยากจะทำให้คุณพ่อกับคุณแม่กินอีก
@ สานกระดาษเป็นรูปปลาตะเพียน. พับเอาใส่กระเป๋ากลับมาบี้แบนหมดเลย
@ พี่ๆสอนทำว่าวแล้วเอามาเล่นกัน สนุกสนานมาก เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ได้เล่นว่าว เคยแต่เห็นคนอื่นเค้าเล่นกัน
@ พี่พาซ้อนจักรยานแล้วปั่นให้น้องๆนั่งท้าย มีพี่่คนหนึ่งช่วยกันปีนต้นมะขามเก็บมะขามใส่ถุงให้นัตซึ เพราะนัตซึบอกว่าอยากเก็บไปฝากคุณพ่อ. คุณพ่อชอบกินมะขาม. . สุดท้ายบรรดาพี่ๆต่างพากันมาช่วยเก็บกันใหญ่เลย (จากคำบอกเล่าของพี่ๆกับนัตซึ)
@. ทำสมุดเฟรนชิป ตกแต่งด้วยการพิมพ์สีลงใบไม้แล้วเอามาแปะเป็นลวดลาย
@. ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่จะแยกน้ำเค็มให้กลายเป็นน้ำจืดได้. โดยใช้แค่ขวดน้ำพลาสติกธรรมดา
@. พาไปทัวร์ตามคณะต่างๆรอบๆศาลายา เอมิบอกว่า ได้เห็นพี่กำลังถ่ายทำหนังกันด้วย มีเก้าอี้นั่งสำหรับผู้กำกับหนัง มีการจัดแสงจัดไฟ คนแสดงก็สวยด้วย(อันนี้โม้หรือเปล่าก็ไม่รู้)
@ มีการเขียนจดหมายติดแสตมป์ส่งถึงตัวเอง
@. พาไปนั่งฟังดนตรีีประเภทดนตรีคลาสสิค. เอมิรู้จักแค่ไวโอลิน เปียโน. เชลโล่. แล้วก็บอกว่ามีเครื่องดนตรีชนิดอื่นอีกแต่เรียกไม่ถูก. เพลงที่พี่่นักดนตรีเล่นให้ฟังก็เพราะมาก แต่จำชื่อยาวๆไม่ได้. สรุปว่าชอบมากที่ได้ฟังดนตรีเพราะๆ(. ส่วนนัตซึมีคำถามมาให้ทายว่า เครื่องที่ให้จังหวะที่ติดอยู่กับตัวเราคืออะไร ตอนแรกไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบอะไร นัตซึเลยเฉลยให้ฟังว่า. มือของเราเนี่ยแหละค่ะ. เครื่องดนตรีที่ให้จังหวะที่ดีที่สุด. คุณแม่เลยมาถึงบางอ้อ)
@ มีการเล่นเกมต่างๆกัน ซึ่งเยอะมากจำไม่ได้แล้ว. มีการแบ่งเด็กๆจาก20คน ออกเป็น4 ทีมแล้วให้เล่นเกมแข่งกัน
@. เด็กๆต้องสวดมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน
@ตอนเช้ามีออกกำลังกาย ขยับแข้งขยับขากัน
@ เวลาทานอาหารต้องช่วยเหลือตัวเอง ตักอาหารต่างๆมานั่งทานเอง
@. อาบน้ำแต่งตัวเอง แต่สองสาวบอกว่ามีพี่มาช่วยสระผมให้เพราะแชมพูเข้าตา งานนี้เลยต้องมีตัวช่วย
@ ห้องนอนเป็นห้องรวมใหญ่เป็นเตียง 2 ชั้น. พี่ๆนอนชั้นบน ส่วนน้องนอนชั้นล่าง. แยกห้องนอนชาย หญิงไม่ปนกัน
@ อย่างอื่นยังมีอีกแต่คงจะยังนึกไม่ออก แต่ขอบอกว่าสองสาวติดใจอยากไปเข้าค่ายอีก เอาไว้รอปีหน้าค่อยไปร่วมกิจกรรมกันใหม่
เออ จริงสิก่อนกลับออกมาจากสโมสรนักศึกษาคณะ ได้เจอกับ พี่ข้าวปุ้น อยู่สาธารณสุขปี4 พี่นัทเรียนทันตะปี5 และพี่รัดซึ่งเป็นคนคอยช่วยดูแลนัตซึกับเอมิส่วนพี่ๆที่เอมิกับนัตซึพูดถึงแต่ไม่ได้เจอคือพี่แอลกับพี่ปลาย. คิดว่าโอกาสหน้าคงจะได้เจอกันอีก
ประสบการณ์การมาเข้าค่ายครั้งนี้ทำให้คุณแม่ประเมินศักยภาพลูกได้ว่า สามารถดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ มีความเข้มแข็ง อดทนดีเพราะการเดินทางไปกลับด้วยตัวเองก็ไกลอยู่สำหรับเด็กๆอายุ6 ขวบกับ8. ขวบกว่า นับว่าสมบุกสมบันกันดีจริงๆ เรื่องเม้าท์ที่พี่ๆเม้าท์ถึงเอมิก็คือ เข้มแข็งร่าเริง กล้าแสดงออก ร่วมแสดงความคิดเห็น กล้าพูด แต่ไม่ขี้อ้อนเป็นผู้ใหญ่ดี ส่วนนัตซึ น่ารัก ยิ้มเก่ง ร่าเริงอารมณ์ดี ขี้อ้อนช่างพูดช่างเจรจา. พูดจนพี่ๆต้องควักกระเป๋าตังค์จ่ายค่าขนม ค่าซาลาเปาเลี้ยงไปแล้ว. ชอบหิวบ่อย. ชอบให้ซื้อของกิน (. ใช่เลยค่ะ ชอบชิมชอบกินแต่ไม่เคยหมดสักอย่างเลย. พี่ๆโดนน้องนัตซึอ้อนทำตาหวานปริบๆใส่ เป็นต้องใจอ่อนทุกทีซิน่า. ฮะ ฮ่ะ ฮะ อดขำไม่ได้. พี่ๆโดนมนต์สเน่ห์ของน้องนัตซึเข้าให้แล้วล่ะค่ะ
งานนี้ต้องขอขอบคุณผู้จัดทำ อาจารย์และนักศึกษาที่มีจิตอาสาของมหาวิทยาลัยมหิดล. มาสร้างค่ายดีๆให้เด็กๆได้มีโอกาสและมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างจากเดิมไป ฝึกการเข้าสังคม. การใช้ชีวิตที่ต้องรู้จักความรับผิดชอบช่วยเหลือตนเอง และการสร้างมิตรภาพใหม่ๆให้กับคนรอบข้าง และประโยชน์อีกนานับประการที่พูดเท่าไหร่ก็คงไม่หมด ขอบคุณที่ช่วยดูแลให้ใจ เอาใจใส่กับบรรดาปูน้อยๆทั้งหลายที่ต้องคอยจับใส่กระด้ง ขอบคุณจริงๆค่ะ. สัญญาว่าปีหน้าไปอีกแน่ๆ อย่าลืมชวนอีกก็แล้วกันค่ะ
สองสาวสนุกสนานดี แต่คุณแม่แอบนอนไม่หลับคิดถึงลูกเปล่าเอ่ย
สำหรับ 6 ขวบไปค่ายค้างคืนได้นี่สุดยอดไม่ธรรมดานะเนี่ย กิจกรรมจะช่วยพัฒนาทักษะที่หาไม่ได้ในห้องเรียน
ได้เป็นอย่างดีเลยเยี่ยมจริงๆค่ะ