ตั้งแต่คุณแม่เกิดมาก็ไม่เคยได้สัมผัสกับบรรยากาศโรงเรียนชายล้วนเลย ถึงแม้ตัวเองจะมีลูกแล้วก็ยังเป็นลูกสาวทั้งสองคนอีกซะด้วย งานนี้ต้องขอบใจเอมิจังที่เป็นต้นเหตุ(ดีๆ)ที่ทำให้มีโอกาสได้เดินเข้ามาในโรงเรียนเทพศิรินทร์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากทั้งด้านวิชาการ และการกีฬา.    ตอนสมัยที่คุณแม่ยังสาวๆเคยพักอยู่ที่หอพักในโรงพยาบาลกลาง เวลาจะเดินทางไปไหนมาไหน. ผ่านไปทางสยามจะต้องนั่งรถผ่านโรงเรียนนี้อยู่เสมอๆ ได้แต่เฝ้ามองว่าโรงเรียนอะไรใหญ่โตจัง มองเห็นสนามฟุตบอลด้วย เอ.ที่นี่เห็นรับแต่เด็กผู้ชาย จะมีใครมาเรียนเยอะแยะขนาดนั้นเชียวหรือ เวลาผ่านไปเหมือนโกหก. ในวันนี้วันที่ 22 ธันวาคม 2555  ตัวเองได้กลับไปยืนอยู่ในโรงเรียนที่ตัวเองเคยตั้งคำถามมาก่อน. รู้สึกว่าโชคดีแฮะ. มาคราวนี้ลูกสาวคนโต เอมิจังมีโอกาสได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนมาสอบเพชรยอดมงกุฎพระพุทธศาสนาช่วงชั้นที่ 1  ปีนี้ให้ส่งนักเรียนได้5 คน ทางโรงเรียนคัดเลือกมา 3คน แต่มาสอบแค่ 2. คน เพื่อนอีกคนหนึ่งของเอมิชื่อ ภูริช อยู่คนละห้องไม่ค่อยสนิทกันมาก่อน แต่ตอนนี้วันนี้ต้องไปไหนไปด้วยกันตลอดเพราะว่าคุณแม่รับอาสาคอยช่วยอาจารย์ดูแลเด็กๆที่มาสอบด้วยกัน.  


    บรรยากาศการสอบเป็นเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้พิเศษอยู่สักหน่อยตรงที่ว่า อาจารย์ที่พาเด็กนักเรียนมาสอบวิชาพระพุทธศาสนาด้วยนี่ เป็นพระสงฆ์พามาเองก็หลายโรงเรียนอยู่เหมือนกัน ช่างเป็นการข่มคู่แข่งขันต่างโรงเรียนได้เป็นอย่างดี     เพราะว่าผู้รู้จริงพามาสอบเองเลยถึงที่สนามสอบ. จำนวนเด็กนักเรียนที่มาสอบของชั้นประถมทั่วประเทศก็ประมาณพันกว่าคน แต่ละช่วงก็เอาแค่10คนเท่านั้นที่จะเอาไปแข่งกันต่อเพื่อเป็นเพชรยอดมงกุฎจริงๆ. งานนี้ก็หินไม่ใช่เล่น เพราะเนื้อหาของข้อสอบเป็นเรื่องของพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าโดยละเอียด และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องด้วยไม่ว่าจะเป็นพุทธสาวกต่างๆ ว่าเป็นเอคทัตคะด้านใดบ้าง ใครเป็นใครบ้าง เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดสถานที่ที่เกี่ยวข้องหรืออะไรไม่เกี่ยวบ้าง.  วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาทั้งหมด  สรุปว่าต้องรู้หมด ทั้งหลักธรรมต่างๆ ศีล และอื่นๆอีกมากมาย ไปเปิดเนื้อหาดู สรุปตามความเข้าใจของตัวคุณแม่เองว่า ถ้าจะสอบของช่วงชั้นที่ 1(ป.1-3)ก็ ต้องมีความรู้ของป.  4-6 ถึงจะทำคะแนนได้ดีเพราะอ่านแค่ความรู้ถึงแค่ของป.3 มันยังไม่ครอบคลุมเนื้อหาข้อสอบที่ออกในช่วงชั้นที่1   เพราะข้อสอบออกล้ำหน้าไปอีกหลายเรื่อง

    ตอนไปส่งเอมิจังช่วงเช้าคุณพ่อขับรถแล้วหลงทางเพราะแถวนั้นมันมีทางแยก ถนนตัดกันเยอะ แถมเราเองก็ไม่ได้ไปแถวนั้นซะตั้งนานหลายปี. ไปถึงทันส่งเข้าห้องสอบพอดีเลย ที่นี่ค่อนข้างจะวุ่นวายพอสมควรเพราะสถานที่ส่วนใหญ่เป็นอาคารเชื่อมต่อกันไปทำให้ไม่มีพื้นที่โล่งๆ และรอบสนามฟุตบอลที่อยู่กลางตึกอาคารเรียนก็กั้นรั้วสูง(กันลูกฟุตบอล).ก็กลายเป็นที่จอดรถ.  เด็กๆก็ไม่ได้รวมตัวกันให้ครบตามหมายเลขห้องสอบก่อนเดินเข้าห้องสอบ กลายเป็นว่าให้เด็กๆหาห้องสอบกันเอง สร้างความวุ่นวายกับการหาห้องสอบกันเองเป็นอย่างมาก แต่ถ้าโรงเรียนไหนมีอาจารย์มาหลายท่านก็พอจะช่วยกันดูแลเด็กๆได้ แต่เห็นบางโรงเรียนส่งเด็กมาสอบช่วงชั้นละ 5 คน มีอาจารย์มาคนเดียว. แล้วก็ต้องอาศัยผู้ปกครองคอยช่วยกันดูแลเอาเอง สำหรับที่ สาธิตเกษตร พหุภาษา มาสอบแค่ไม่กี่คนเลยสบายๆ มีค่าอาหารกลางวันให้เด็กๆที่มาสอบด้วยคนละ60 บาท(. เอมิจังเลยได้เงินเก็บอีกแล้ว ชอบมากๆ).  

     เริ่มสอบตอน9.00-10.00น.  พอส่งลูกสาวเสร็จเลยนึกขึ้นได้ว่าปีนี้สอบของวิชาพระพุทธศาสนายังไม่ได้รับใบประกาศเกียรติบัตรที่เข้าสอบรอบเจียรไนเพชรกับเหรียญที่ระลึกเลย (ที่ถามเพราะว่าปกติแล้วจะได้รับตอนลงทะเบียนไปเลย). อาจารย์เลยบอกว่าที่นี่เค้าจะแจกให้กับเด็กนักเรียนเองในห้องตอนเข้าสอบ เลยถึงบางอ้อว่า การจัดการสอบแต่ละโรงเรียนไม่เหมือนกันเลยแล้วแต่ว่าเค้าจะสะดวกจัดการกันแบบไหนนั่นเอง.      ช่วงระหว่างนั่งรอเอมิสอบเลยได้มีโอกาสคุยกับพี่ผู้ปกครองของน้องป.   5 ที่มาสอบด้วยกัน เลยทำให้รู้ว่า คุณแม่หรือผู้ปกครองต้องติวลูกๆของตัวเองด้วยตัวเอง. ไม่ได้มีอาจารย์มาติวให้ก่อนสอบ เลยกลายเป็นว่าเป็นอานิสงน์ ผลพลอยได้ที่ได้มีโอกาสติวพระพุทธศาสนาให้กับลูกๆของตัวเอง เพราะถ้าบอกกันตามตรงแล้ว       ในชีวิตนี้ดิฉันแทบจะมีโอกาสเข้าวัดน้อยมาก. (ตามสไตล์คนเมือง)เทปซีดีธรรมะไม่เคยได้เปิดฟัง ความรู้พื้นฐานด้านหลักธรรมมีน้อยมาก. ได้แค่ ศีล5   แผ่เมตตา ทั่วๆไป. ส่วนเรื่องหลักธรรมที่เคยเรียนมาเมื่อสมัยยังเด็กๆ ก็เอาความรู้ที่แท้จริงคืนคุณครูไปหมดแล้ว.   มาถึงคราวนี้ที่ต้องติวลูกสอบเอง ทำให้ได้รู้เกี่ยวกับพุทธประวัติลึกซึ้งและเข้าใจมากขึ้น หลักธรรมอะไรก็ตามที่เคยคืนคุณครูไปก็ต้องมาท่องจำสอนหลักให้ลูกรู้ต่อไป ต้องอ่านเนื้อหาเพิ่มจากป.3 ขึ้นไปอีก ทั้งคุณพ่อและตัวดิฉัน รวมทั้งยูริจังเลยได้มีโอกาสซาบซึ้งในรสพระธรรมกันไปช่วงหนึ่งเหมือนกัน นับว่าเอมิจังได้รับผลบุญจากครอบครัวของเราไปเต็มๆเลย.   งานนี้คุณพ่อมาส่งแล้วไม่ได้รอฟังผลด้วยเหมือนเดิมเพราะต้องไปสอนหนังสือต่อที่มหาวิทยาลัย เจอกันอีกทีก็ที่บ้านเลย

     รอจนกระทั่งเด็กๆสอบกันเสร็จ. ซึ่งคิดว่าเร็วมาก 100ข้อให้เวลาทำ 60 นาที อ่านแล้วต้องตอบเลย ถามเอมิว่าพอทำได้ไหม บอกว่าพอทำได้ แต่ก็ถามที่ไม่รู้บ้างเหมือนกัน งานนี้เลยสบายๆ(หมายความว่า ไม่ต้องหวังอะไรมาก ครั้งนี้คงจะมาสอบเอาประสบการณ์ก่อนก็แล้วกันนะ ไม่เป็นไร). พอเด็กๆสอบเสร็จต้องรอประกาศผลคะแนนสอบตอนช่วงบ่าย. เลยมีเวลาที่จะพาไปเดินเล่นภายในโรงเรียน เดินเตร็ดเตร่ไปเจออาคารดูเก่าๆ เห็นเขียนป้ายว่าพิพิธภัณฑ์ คิดว่าเปิดให้เข้าชมปรากฎว่าปิด  น่าเสียดายจัง พาเด็กๆ(.เอมิ ยูริ กับน้องภู ). เดินผ่านไปเจอห้องสมุด.  อาจารย์บรรณารักษ์ใจดีจังเปิดส่วนห้องสมุดให้เด็กๆ 3คนเข้าไปดู ไปนั่งอ่านหนังสือด้วย. ได้เข้าไปดูห้องสมุดที่ใหญ่และกว้างขวางมีอยู่ 3ชั้น เป็นห้องแอร์ หนังสือเยอะมากมีทั้งเก่าใหม่ น่าอ่านทุกเล่ม. สิ่งแรกที่เอมิพูดเลยเมื่อได้เห็นหนังสือ "ห้องสมุดใหญ่มากอยากให้ที่โรงเรียนมีหนังสือเยอะๆอย่างนี้บ้างจัง จะอยู่ทั้งวันไม่ไปไหนเลย".  ยิ่งอาจารย์บอกว่ายืมได้ครั้งละ 5 เล่มนานถึง 7 วัน ก็ทำตาโตขึ้นมาทันที.  รีบบอกอาจารย์ที่ห้องสมุดร.ร.เทพศิรินทร์ว่า. "โรงเรียนหนูให้หนูยืมได้แค่ 2 เล่มเอง ยืมได้แค่2 วันเองด้วย "คุณแม่เลยถามอาจารย์ที่นั่นว่าเด็กๆที่นี่เป็นอย่างไรกันบ้างเพราะส่วนใหญ่เป็นเด็กชั้นมัธยมต้นและปลาย      และเป็นโรงเรียนชายล้วนซะด้วย ไม่อยากจะเชื่อว่าสถิติของเด็กนักเรียนที่เข้าใช้ห้องสมุดค่อนข้างน้อยมากๆ เลยวิเคราะห์ว่า.  สาเหตุน่าจะมาจากการใช้สื่อเช่น คอมพิวเตอร์ในการหาข้อมูลซะมากกว่า เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เลยไม่นิยมเข้ามานั่งอ่านหนังสือหรือหาความรู้จากในห้องสมุดกันอีกแล้ว (ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆด้วย).  น่าเสียดายหนังสือที่ีถูกปล่อยวางไว้บนชั้นหนังสือมากมายเหล่านั้นจัง. ได้คุยกับอาจารย์บรรณารักษ์ห้องสมุด คิดเห็นเหมือนกับคุณแม่เลยว่าสื่ออย่างคอมพิวเตอร์กำลังจะกลืนกินวัฒนธรรมในการสร้างสังคมนักอ่าน หรือเสริมสร้างนักอ่านที่มีคุณภาพ. เพราะ อาจารย์เองก็รู้ดีว่า รายงานหรือข้อมูลที่เด็กทำมาส่งแต่ละอย่างนั้นก็ได้มาจากคอมพิวเตอร์ซึ่งไม่สามารถทราบได้ว่ามีความน่าเชื่อถือของข้อมูล และเนื้อหามากน้อยเพียงใด บางเรื่องบางอย่างกลายเป็นว่าคัดลอกกันไปมาหาต้นตอไม่เจอก็มี งานนี้ไม่รู้ว่าปัญหาที่กำลังจะเกิดตามมาหลังจากที่เราพยายามจะก้าวกระโดดให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก เราพร้อมกันจริงๆหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เนอะ.         และตามความเห็นส่วนตัวของคุณแม่แล้วที่โรงเรียนเทพศิรินทร์นี้เป็นโรงเรียนที่มีศิษย์เก่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งด้านการเขียน เป็นทั้งนักเขียน นักประพันธ์ นักอ่าน นักคิด มากมายหลายท่านซึ่งต้นกำเนิดของผลงานเหล่านี้ก็ผ่านมาจากการสั่งสมความรู้ประสบการณ์จากการอ่านมาก่อนทั้งสิ้น               หากเด็กๆในรุ่นปัจจุบันจะละเลยไม่สนใจในการเปิดอ่านหนังสือจริงๆก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่จะไม่ได้สัมผัสกับความซาบซึ้งในเรื่องราวหรือรูปแบบของหนังสือที่ผู้แต่งได้สร้างสรรค์ผลงานออกมา        หรืออดซึมซับกับบรรยากาศกลิ่นของกระดาษหนังสือ. ท่วงท่าการพลิกเปิดอ่านหนังสือแต่ละหน้า เหมือนสมัยที่เรายังเป็นเด็กนักเรียนได้เคยสัมผัสมา. (สงสัยว่าคุณแม่จะแก่แล้วจริงๆด้วย)

  เด็กๆและคุณแม่ ใช้เวลาอยู่ในห้องสมุดนานพอสมควรเลยพาเด็กๆไปเดินในบริเวณวัด.     น่าเสียดายที่ตอนนี้กำลังบูรณะซ่อมแซมวัดหลายจุดเลยไม่ได้เข้าไปดูในโบสถ์หรือพิพิธภัณฑ์ แต่ก็ได้ถ่ายรูปด้านนอกรอบๆวัดด้วยเป็นที่ระลึก. อากาศร้อนมากเลยต้องเดินกลับไปรอใต้อาคารเรียนเหมือนเดิมระหว่างเดินกลับไปที่อาคารสนามสอบ      ก็พบว่ายังมีบางโรงเรียนที่กำลังเคร่งเครียดจดจ่อ นั่งอ่านซักซ้อมตอบคำถามกับพระอาจารย์ที่พามาสอบอยู่หลายโต๊ะ. บางโต๊ะก็อาจารย์ติวกับเด็กต่อ ประมาณว่าสงสัยจะรู้ว่าตัวเองมีสิทธิเข้ารอบแน่นอนเลยยังสู้เตรียมตัวกันรอบต่อไป ส่วนเด็กนักเรียนทั่วๆไปก็ลันล้าเดินดู เลือกซื้อของเล่น ของฝาก และหนังสือกันอย่างสนุกสนานระหว่างรอผลสอบ        รอผลสอบนานมากจนเกือบจะบ่ายสองโมงแล้ว จึงมีประกาศให้ทราบรายชื่อที่ได้เข้ารอบ 10. คน. ส่วนนอกจากนั้นไปมุงดูกันที่บอร์ดเพียงจุดเดียว. ส่วนใครมองไม่เห็นก็ให้รอรับแผ่นรายชื่อประกาศคนที่ได้รับรางวัลชมเชยกับผ่านเกณฑ์ต่างหาก  แล้วถ้าอยากรู้คะแนนสอบของตัวเองจริงๆก็ต้องลุยเข้าไปดูที่บอร์ดกันเอาเองตามสบายเลย. สรุปว่าของช่วงชั้นที่1 รางวัลผ่านเกณฑ์ต้องมีคะแนน57 ขึ้นไป ของเพื่อนเอมิได้ 45คะแนน  แต่ว่าเอมิจังได้แค่51 นะซิเลยอดได้รางวัลใดๆ แต่ว่าได้แค่นี้ก็นับว่าโอเคแล้วสำหรับการเตรียมตัวระยะสั้นๆ แค่นี้ก็ได้ใจใครต่อใครไปมากมายแล้ว. อาจารย์ที่พาไปสอบก็ช่วยจดคะแนนสอบให้ บอกว่าได้คะแนนดีแล้ว เพราะบางคนได้19-20คะแนนก็มี วิชานี้เป็นความจำล้วนๆขนาดผู้ใหญ่อย่างเราๆบางคนให้จำหลักธรรมเองก็ยังจำได้ไม่หมดเลย   นี่ถามกว้างและละเอียดด้วย คราวหน้ามาใหม่นะค่ะ.  อาจารย์ยังพูดให้กำลังใจกับเด็กๆ เพราะทำเต็มที่แล้ว.   คุณแม่เลยบอกเอมิจังว่าคราวหน้าเดี๋ยวป.6 เราค่อยมาลองสอบใหม่อีกนะ.  เอมิบอกว่าไม่รอตอน ป.6 หรอกค่ะคุณแม่.     ปีหน้า ป.   4 หนูขอลองสอบอีกรอบนะค่ะ สู้ตายค่ะ.  (โอ้โห คุณลูกไฟแรงไม่มีตกจริง ๆนะเนี่ย ).  เออว่าแต่. คุณลูกขา ปีนี้หนูได้สอบเพชรยอดมงกุฎรอบเจียรไน 3 ใน10สาขาวิชา ก็เล่นเอาคุณแม่ติวเหนื่อยซะขนาดนี้ ปีหน้าลุ้นต่ออีกจริงๆเหรอเนี่ย. ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมจ๊ะ ที่รักของคุณแม่.  เพลาๆบ้างก็ได้นะ ทั้งเรียนทั้งกิจกรรมไม่ยอมทิ้งเลย ทุ่มสุดตัวจริง...จริ้ง..

          วันนี้พอกลับมาถึงบ้านก็บอกว่าหนูมีข่าวดี เลยถามว่า ข่าวดีคืออะไรค่ะ.  เพราะเอมิมักจะมีอะไรๆมาเซอร์ไพร์สอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง.  ได้รางวัลวาดภาพวันพ่อ.  เป็นตัวแทนชั้นป. 3 กล่าวขอบคุณเวลามีกิจกรรมต่างๆ. หรือเป็นตัวแทนวาดภาพทำการ์ดอวยพรให้กับอาจารย์(ผศ.สุปรีดา)เป็นของขวัญในวันปีใหม่ที่โรงเรียนจัดขึ้น ซึ่งคุณแม่ยอมรับว่า ของขวัญที่มีค่ามากที่สุดไม่ใช่ของขวัญที่มีมูลค่าราคาแพง แต่เป็นของขวัญที่ผู้ให้ตั้งใจทำและมอบให้ด้วยความรักและปรารถนาดีจากใจจริงๆจึงมีค่ามากที่สุด.   หรือไม่ว่าจะชนะโหวตการแต่งกายชุดซานต้าครอสในวันคริสต์มาสที่ผ่านมาได้ขนมกลับบ้านมาเพียบ

อ้าว.คุยนอกเรื่องคราวนี้ ขอบันทึกข่าวดีของลูกที่ลูกภูมิใจว่าได้ทำ(บส.)บริการสังคมครบ เล่มที่หนึ่งและได้ขึ้นเล่มที่สองแล้ว เป็นคนแรกของห้องป.3/2 และเป็นคนแรกของชั้นป.3 คุณแม่ว่าเผลอ ๆอาจจะเป็นคนแรกของโรงเรียนด้วยหรือเปล่า เพราะว่าทำเกินกว่าที่กำหนดชั่วโมงไว้ตั้งมากมายขนาดนี้ (. ชอบจังเลยนะค่ะบริการสังคมเนี่ยค่ะ คุณลูก โดยเฉพาะเช็ดโต๊ะกับเก็บขยะ งานสนุกเลยนะ).    และสุดท้ายวันนี้ไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดได้สิทธิจับสลาก จับได้หนังสือธรรมะมาหนึ่งเล่ม บอกว่าตัวเองโชคดีมาก

            แค่ทุกวันนี้เอมิจังมีความสุขกับสิ่งดีๆที่ได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ จะทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อส่วนรวม ทุกๆวันก็เป็นวันที่ดีได้เสมอในความคิดของเอมิจังลูกลิงตัวน้อยของคุณแม่ค่ะ